หลังจากผ่านไปอย่างเข้มข้นในช่วงสัปดาห์แรก ตอนนี้ทุกๆอย่างก็เริ่มเข้าที่ คนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกเมื่อ 10 วันที่แล้ว บัดนี้ถูกเรียกว่าเพื่อนอย่างเป็นทางการ รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักที่ได้มีเพื่อนใหม่มาจากทั่วโลกเช่นนี้ ครั้งล่าสุดที่ได้เพื่อนใหม่หมู่แบบนี้ก็โน่น 5+ ปีที่แล้ว (ซึ่งก็ยังติดต่อกันอยู่จนถึงทุกวันนี้)
แต่สิ่งที่เหมือนกันกับคราวที่แล้วคือ ผู้คน Smart เหมือนกันเลย ทุกคนมีแนวคิดทางการพัฒนา ทางการตลาด และทุกด้านครบถ้วน ถึงส่วนใหญ่จะแข็งในประเทศตัวเอง แต่ดูแล้วก็ Scale ไม่ยาก
ช่วงแรกๆก็ไม่ได้เข้าหากันมากมายอะไรหรอก เพราะความขี้อายเฉพาะของทีมเรา (คนไทยขี้อาย) แต่ตั้งแต่วันที่ณิชมา ผู้คนก็เริ่มเข้าหาทีมเราเอง ไม่รู้ทำไม แต่เอาจริงๆก็พอรู้นะ ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาจะเป็นผู้ชาย 555
คนที่ดูเก่งๆเกร็งๆวันนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่เก่งแต่เกรียนและตลก รู้สึกเป็นสังคมที่สนุกมากเลย ชอบ นี่แหละ Ice Breaking คือสิ่งสำคัญ !
ที่น่าสนใจคือที่ผ่านๆมา ถ้าได้เพื่อนใหม่ก็จะถามหา Twitter ไม่ก็ Facebook แต่คราวนี้ LinkedIn จ้าาาา เข้าใจละว่าที่เค้าบอกว่า LinkedIn สำคัญกับการทำงานและติดต่อกับต่างชาติ ก็เพราะว่า Twitter มันบอกอะไรเกี่ยวกับตัวตนไม่ได้เลย ส่วน Facebook ก็บอกได้แค่ว่าเราเป็นใคร ส่วนผลงานไม่มี ในขณะที่ LinkedIn มันบอกทุกอย่างว่าสกิลเราเป็นยังไง โดยให้เพื่อนเป็นคนให้คะแนน จึงไม่ต้องแปลกใจว่า LinkedIn จะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ และสำหรับชาวประชา มีเวลาก็สมัคร LinkedIn ไว้เน้อ ค่อนข้างสำคัญ แล้วก็คอย Endorse Skill คนรู้จักเพื่อสร้างโปรไฟล์ไว้ด้วย
สำหรับ MOLOME เป็นโปรดักส์หนึ่งในสองตัวของแคมป์นี้ที่ Launch แล้ว เพื่อนใหม่เหล่านี้ก็ช่วยกันใช้และ Comment กันเป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกผิดพอสมควรที่โปรแกรมยังกากอยู่ เร่งพัฒนาให้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดอยู่ เตรียมพบกับโฉมใหม่เร็วๆนี้ ! (โฉมใหม่อีกละ)
ด้วยเหตุฉะนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเมื่อทีม JFDI ถามว่าอะไรคือสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงตอบไปอย่างไม่ลังเล
"ก็การที่ได้มาอยู่ที่นี่ไงครับ"
และก็ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพิ่งผ่านไปแค่ 10 วัน แต่ความรู้ใหม่มากมายถูกบรรจุเข้ามาในสมอง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง (แหะๆ) ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของแนวคิดการทำโปรเจคพวก Vetting เอย MVP เอย และก็ไปในทางด้าน Business เลย เช่นการจดบริษัท การทำ Vesting การตั้ง Class F Share เทคนิคการ Pitch ฯลฯ คือเรียกว่าเยอะมากจนตกใจว่าผ่านไปแค่ 10 วันเองหรอว้า ! (ถ้านับเป็นเวลาทำการก็แค่ 8 วัน)
ที่ผ่านมาก็แค่ทำตาม Sense ที่ตัวเองมี แต่ตอนนี้มีหลักการเข้ามาก็ช่วยได้มาก และที่รู้สึกดีมากคือการได้พบเจอผู้คนมากมาย ได้เห็นว่าทั้งงานเล็กงานใหญ่ ก็มีโอกาสทั้งสิ้น
พูดง่ายๆ การมาอยู่ที่นี่ทำให้รู้สึกว่า "ทุกอย่างเป็นไปได้" หากเพียงแต่คุณ "กล้า" ที่จะทำรึเปล่า หรือจะกลัวไปวันๆจนคนอื่นทำสิ่งที่คุณคิดได้และได้ดิบได้ดีไป
"ความฝันสำหรับคนธรรมดา มันคือสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง
แต่สำหรับผู้ประกอบการ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่มันจะเป็นจริง"
สำหรับความรู้ใหม่ๆที่เรียนรู้มา ถ้ากลับไทยแล้วมีโอกาสจะไปแบ่งปันให้ฟังกันนะจ๊ะ หรือไม่ถ้าสามารถเรียบเรียงได้ก็จะมาเขียนไว้บน Blog ครับ โดยเฉพาะเรื่อง Vesting / Class F Share ผมว่าน่าสนใจและน่ารู้มากทีเดียว มีคนถามเรื่องการแบ่งหุ้นมาเยอะทีเดียว
ใช้ชีวิตที่นี่มา 12 วัน สิ่งที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นตกใจที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องในแคมป์ แต่เป็นเรื่องนอกแคมป์อย่าง "ค่าครองชีพ"
หลอกตัวเองมาตลอดว่าค่าครองชีพที่ไทยนั้นถูกแสนถูก พอมาอยู่นี่ทำให้เห็นภาพที่แท้จริงว่า "ค่าครองชีพเทียบกับรายได้ในไทยมันโคดสูง"
ก็จริงอยู่ที่อาหารที่นี่แพงกว่าไทยราวๆ 3 เท่าได้ ไม่ต้องแปลกใจถ้าคนมาเที่ยวบอกว่าค่าครองชีพสูง แต่ถ้ามาอยู่ยาวๆ แล้วเอาค่าใช้จ่ายเทียบกับรายได้ของคนที่นี่แล้ว มันถือว่าไม่แพงเลย
ที่นี่จบป.ตรีจะได้เงินเดือนเริ่มต้น 2500 เหรียญสิงคโปร์ หรือราวๆ 62500 บาท สูงกว่าไทยราว 3 เท่า
ค่าเดินทางต่อวันเท่าๆไทยคือ 3-8 เหรียญ หรือ 75-200 บาท แถมไม่ต้องมีค่าเสียเวลารถติดให้หงุดหงิดใจอีกต่างหาก คำนวณเฉลี่ย 30 วันก็ราวๆ 180 เหรียญ หรือน้อยกว่า (หรืออาจจะมากกว่าถ้าเรียกแท็กซี่)
ค่าอาหารต่อมื้ออยู่ที่ 7 เหรียญหรือ 175 บาทโดยเฉลี่ย ถ้าวันละสามมื้อก็ราวๆ 20 เหรียญหรือ 500 บาท แพงกว่าไทยราว 3 เท่า หากคำนวณ 30 วัน กินแบบนี้ก็ 600 เหรียญ หากคำนวณการขึ้นลงและมื้อพิเศษ ก็ฟันให้ 900 เหรียญต่อเดือนละกัน (ที่นี่มื้อพิเศษก็อยู่ที่ราวๆคนละ 20-30 เหรียญ ไม่ได้แพงกว่าเดิมเท่าไหร่นัก) ซึ่งส่วนตัวกินแค่วันละ 2 มื้อ ก็น้อยลงไปอีก (แต่ก็วันละ 20 เหรียญอยู่ดี หนักไปทางซื้อขนม ซื้อหนม ซื้อติมกิน -_-)
ที่จะแพงหน่อยก็คือค่าที่พัก ที่นี่ ณ นาทีนี้ หากอยู่นอกเมืองก็ราวๆคนละ 1000 เหรียญ แต่ถ้าแชร์สองคนก็คนละ 500 เหรียญได้ (คุณภาพระดับ HDB) ยังไงมาอยู่ที่นี่ก็คงต้องแชร์แหละ ไม่งั้นจ่ายเงินบานนนน
หักค่าโน่นค่านี่ เหลือเงินอยู่เดือนละ 2500 - 500 - 180 - 900 = 920 เหรียญ หรือเทียบเป็น 37% ของเงินเดือน เอาไปใช้ตามอัธยาศัย ซึ่งย้ำว่านี่คือ Rate เด็กจบป.ตรี หากเป็นระดับที่สูงกว่านี้ ก็เหลือเยอะกว่านี้เยอะ
ซึ่งลองถามไถ่ไปทางคนที่เคยอยู่สิงคโปร์มาหลายปีและเพิ่งย้ายกลับไปไทย ก็ยืนยันว่าจริงว่า ค่าครองชีพต่อรายได้ของไทยสูงกว่าของสิงคโปร์แล้ว อยู่สิงคโปร์ยังมีเงินเก็บ แต่อยู่ไทยแทบไม่มีเงินเหลือ
ส่วนเรื่องอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็อยู่ในช่วง 3.5 - 20% ตามฐานรายได้ ซึ่งถือว่าโอเคเลย รู้สึกว่าโดยเฉลี่ยอัตราต่ำกว่าไทยอีก
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประเทศไทยจากนี้จะเป็นอย่างไรในด้านการประกอบอาชีพ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ทางที่ดีแน่ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นจนไม่ Balance กับเงินเดือน จะทำให้ระบบพังทั้งระบบได้ แค่รอเวลาว่ามันจะเริ่มเมื่อไหร่เท่านั้นเอง บูมมมมม
ที่เขียนไว้ไม่ได้อยากให้ Panic นะ แค่อยากให้ตระหนักเท่านั้นเอง คงมีคนเถียงในใจแหละ อันนี้ไม่ว่าอะไร เพราะมันเป็นเรื่องที่พูดยาก(มาก) ก็ลองอ่านข้อมูลที่ได้ไปแล้วพิจารณาและปรับตัวดู .. และอ้อ ที่เขียนไว้มันไม่ใช่ประเทศไทยทั้งประเทศนะ แค่กรุงเทพฯเท่านั้นเอง
ก็ถือว่าได้อะไรใหม่ๆเยอะเหมือนกัน เพื่อนใหม่ ความรู้ใหม่ ค่าครองชีพใหม่ และเมีย......... เมียยังคงเดิมอยู่จ่ะๆๆๆๆ
ฟิ้วววว เกือบไป