หายไปจาก Blog นี้สี่สิบกว่าวัน นับตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม เพราะสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเขียน Blog ให้แก่สมาชิกครอบครัวตัวหนึ่ง ซึ่งหลับสนิทไม่ตื่นกลับมาอีกในตอนตีสองของวันที่ 19 มกราคมนั้นเอง ถ้ายังเขียนไม่เสร็จ ก็จะไม่เขียน Blog อื่น
และไม่น่าเชื่อว่า Blog เดียวนี้ ใช้เวลาเขียนถึง 40 กว่าวัน ไม่ใช่เพราะไม่มีเวลา แต่เพราะเขียนไม่ออก เขียนแล้วมันเจ็บ เขียนแล้วจะร้องไห้
สำหรับสมาชิกครอบครัวที่จากไปนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นหมาที่รักมากดั่งน้องชาย เรียกว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ผูกพันธ์มากที่สุดของชีวิตอันดับ 1 ใน 3 เลยก็ว่าได้ เพราะอยู่ด้วยกันมาถึง 1/3 ของชีวิต หลายๆคนคงจะรู้จักเจ้าโกลเด้นตัวนี้ดี "ริชชี่" เพราะเราชอบพูดถึงอยู่เรื่อยๆ แถมยังมีภาพจั่วอยู่บน Blog นี้ด้วย
ครับ มันเพิ่งจากเราไปเมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังจากยื้อมันมา 3 เดือน ...
ปี 2004 ย้อนหลังไปร่วม 10 ปีที่แล้ว หมาน้อยตัวเล็กๆตัวหนึ่งถูกซื้อมาจากฟาร์มและส่งตรงมาบ้านเราโดยไม่ได้ตั้งใจ
จริงๆแล้วครอบครัวเราไม่อยากเลี้ยงหมา แต่ครั้งนี้โดนเอามาให้แกมบังคับ ก็เลยต้องเลี้ยง ซึ่งด้วยความน่ารักและเรียบร้อยของมัน ทำให้พิชิตใจครอบครัวเราได้ไม่ยาก แค่ไม่กี่วันทุกคนก็รักมัน
มันโตขึ้นทุกวันทุกวัน เร็วอย่างกับเวทมนตร์ จากตอนแรกที่ได้มา ช่องท้องระหว่างขาหน้าและขาหลังมีขนาดเท่าฝ่ามือพอดีเท่านั้น
แต่ผ่านไปแค่เดือนสองเดือนมันก็โตขึ้นมาสองสามเท่าตัว จากตอนที่ได้มายังหัดเดินเตาะแตะ มันก็เริ่มปืนป่าย เริ่มกระโดดขึ้นเตียงได้ และก็เริ่มรู้จักกระโดดลงจากเตียงใส่ตัวเราที่นอนพื้นทุกเช้า ... ไม่รู้ไปเรียนรู้จากไหน แต่น่ารักชะมัด ...
สุดท้ายมันก็เติบโตจนเต็มตัว กลายเป็นหมาที่ตัวใหญ่มากและก็อ้วนขึ้นตามลำดับ ... ก็มันขี้อ้อนนี่นา ชอบขอของกินอยู่ตลอด อ้วนเป็นหมูเลย อยากรู้ว่าอ้วนแค่ไหนก็ ... 50 โลเท่านั้นเอง ! หนักเท่าเนยอ่ะ
แต่ถึงมันจะตัวใหญ่ แต่ก็ชอบทำนิสัยเหมือนหมาตัวเล็กๆ ขี้อ้อน นอนหงายท้องให้เกา รวมถึงนอนด้วยกันแบบไม่คิดเลยว่ามันตัวใหญ่
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากแค่ไหนตั้งแต่มันมาอยู่บ้าน มารู้ตัวอีกทีก็ผูกพันธ์กับมันมาก ชีวิต 6-7 ปีแรกที่มันมาอยู่ด้วย เราอยู่กับมันตลอดเวลา เพราะเราไม่ค่อยได้ออกไปไหน อยู่แต่บ้าน ก็เลยกลายเป็นคู่หูกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน รักกัน กอดกัน
แต่เตือนตัวเองตลอด วันนึงมันต้องไปนะ วันนึงมันต้องตายนะ แต่ว่านึกไม่ออกเลย ถ้าบ้านไม่มีเจ้าริชชี่ ชีวิตจะเป็นยังไง เพราะมันเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บ้านนี้มีความสุขมาตลอด
ตั้งแต่เด็กจนโต มันเป็นหมาที่ซนมาก และมันนึกว่าตัวเองเป็นคนอยู่เสมอ ชอบทำอะไรเลียนแบบคน เช่นชอบนั่งบนเก้าอี้ พอมันเริ่มมีอายุ สัก 7 ปีเป็นต้นมา นิสัยซุกซนของมันก็เริ่มหายไป กลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ยกเว้นตอนมันหมั่นเขี้ยว ก็จะไล่ฟัดโน่นฟัดนี่ตามอารมณ์ ที่เหลือก็คือนอนกับวิ่งเล่นไปมา
ซึ่งในช่วงมัน 7 ขวบ เนยก็เริ่มไม่อยู่บ้าน เพราะย้ายเข้ามานอนในห้องพักกลางเมือง เพื่อลดเวลาการเดินทาง กว่าจะกลับบ้านก็อาทิตย์ละครั้งจนถึงเดือนละครั้ง แต่ทุกครั้งที่กลับไปก็มีความสุขมากเพราะมีหมาตัวนึงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตมากระโดดกอดและขอนั่งตักทุกครั้ง
ด้วยความน่ารักของมัน ทำให้ทุกครั้งที่ไปออกงานหมาต่างๆ ทุกคนจะเข้ามาขอถ่ายรูป กอดมัน เล่นกับมัน เรียกว่าเป็นพระเอกของทุกงานได้เลย แต่กระนั้นเราก็แอบเสียใจที่ไม่ได้พามันไปบ่อยมากนัก ได้แค่ปีละ 2 ครั้งเท่านั้นเอง แต่ทุกครั้งที่มันไปมันก็ดูมีความสุขมากเลย
ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ทุกคนกำลังมีความสุข แต่แล้ววันหนึ่ง เดือนตุลาคมปีที่แล้ว พ่อก็โทรมาหาว่าริชชี่ป่วย มีก้อนเกิดขึ้นเต็มตัวทุกต่อมน้ำเหลือง พ่อบอกว่าหมอยังไม่สรุปว่าเป็นมะเร็งหรือเป็นแค่เนื้องอก แต่สิ่งที่รู้อยู่ในใจแล้วคือ มันเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแน่ๆ
เราจึงรับหน้าที่พาริชชี่ไปอัลตร้าซาวน์และดูผลเชื้อในเลือด หมอพูดกลับมานิ่งๆหน้าตาเฉยๆว่า "เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองครับ มีชีวิตอยู่ได้อย่างเก่งไม่เกิน 6 เดือน"
พ่ออึ้งไปสักพักใหญ่ๆ ส่วนเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นแบบนี้
จากนั้นก็อัลตร้าซาวน์ทั่วตัวเพื่อดูว่ามันอยู่ในระยะไหน สรุปก็คือเข้าอวัยวะสำคัญทั่วตัวแล้วรวมถึงกระแสเลือดด้วย จึงได้คำตอบ ณ ตอนนั้นว่า "ริชชี่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย" หรือเป็นระดับ 5 จากทั้งหมด 5 ระดับ หมอจึงลดเวลาว่า อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ไม่ใช่ 6 ...
ช่างเป็นเวลานาทีที่เจ็บปวดมาก ทุกคนจะร้องไห้แต่ก็ข่มใจไม่ให้ร้อง จากนั้นเราจึงตั้งเป้าไว้ว่า เราจะไม่ทำให้มันหายมะเร็ง มันเป็นไปไม่ได้ แต่จะทำให้มันจากไปอย่างมีความสุขที่สุด ไม่เจ็บไม่ปวด
สัปดาห์ถัดไปเราตัดสินใจพามันไปทำคีโม ราคาค่าทำก็เรียกว่าโหดมาก ... แต่เพื่อน้องชายตัวนี้และเพื่อทุกคนในครอบครัวแล้ว ก็เลยเอาเงินทั้งหมดที่มีไปรักษามัน โชคไม่ดีที่หลังจากรักษาด้วยคีโมครั้งนึงและยาเม็ดคีโมอีกสัปดาห์ ปรากฎว่ามันแพ้คีโม ...
อาการแพ้คีโมก็ค่อนข้างรุนแรงมาก มันอ้วกเป็นเลือดถึง 21 ครั้งในคืนนั้น ตอนแรกคิดว่ามันคงไม่รอดแล้ว แต่มันก็ยังไหว เลยพามันไปหาหมอ และให้น้ำเกลือ สวนถึงฉี่ นอนอยู่โรงบาลเป็นเวลา 3-4 วัน
เงินที่เก็บไว้ก็เลยหายไปอีกครึ่งหนึ่งในการนอนโรงบาลของริชชี่ครั้งนั้น แต่ผลที่ได้รับกลับมาคุ้มค่า พอมันกลับถึงบ้าน มันค่อยๆแข็งแรงขึ้น ไม่มีอาการของมะเร็งเลย น้ำหนักที่ลดลงจาก 50 เหลือ 36 ก็กลับขึ้นมาเป็น 40 กว่าๆ
หลังจากไปตรวจเลือดดูทุกอาทิตย์ ก็พบว่ามะเร็งทั้งตัวหยุดโต เลือดไม่มีเชื้อมะเร็งแพร่กระจายแล้ว พ่อดูมีความหวังขึ้น หวังว่ามันจะหาย แต่สำหรับเราแล้ว เรามองว่ามันเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมันโดยไม่รู้สึกว่ามันป่วย
และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ
วันที่ 13 มกรา เราถูกเรียกกลับบ้านตอนเย็น เพราะริชชี่อยู่ดีๆก็ "เดินไม่ได้" ถึงอย่างอื่นจะปกติดี ยกเว้นแต่มันซึมๆลงไปบ้าง เราก็ยังรู้สึกเศร้ามาก เจ็บปวด นึกถึงภาพวันแรกที่เราได้มันมา มันยังเดินเตาะแตะๆ จนมันเดินแข็ง และนี่มันก็เดินไม่ได้แล้ว
มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่เจ็บปวดไม่น้อย ... แต่ยังไงก็ดีใจนะที่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่วันที่เจ้าเดินได้ จนวันสุดท้ายที่เจ้าหยุดเดิน ...
ก่อนหน้านั้นเราเอากล้องกลับบ้าน หวังจะถ่ายรูปมันเป็นล็อตสุดท้ายก่อนมันจะจากไป และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ น่าใจหายที่รูปถ่ายวันนั้น มัน "ยิ้ม" ทุกรูป มันดูมีความสุข ถึงแม้เสียงหายใจมันจะดังมาก บ่งบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว
เลยสัญญากับมันว่า "ฉันจะจำแกในแบบนี้ตลอดไป"
หลังจากนั้นมันซึมลง หายใจดังขึ้นเพราะมีก้อนเนื้อโตในปอด พ่อแม่ต้องย้ายลงมานอนห้องข้างล่าง เพราะมันเดินไม่ได้ ยกเว้นตอนไปฉี่ที่มันกระโผลกกระเผลกเดินเองได้ มันคงไม่อยากให้คนต้องลำบากอุ้มพามันไป ...
และแล้วเวลาที่ไม่อยากให้มาถึงมันก็มาถึง ตอนตีสองของวันที่ 19 มกราคม แม่โทรมา ... ตามปกติเวลานั้นแม่ไม่โทรมาหาหรอก ถ้าไม่ฉุกเฉินจริงๆ พอรับโทรศัพท์เท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงแม่ร้องไห้อย่างหนัก พร้อมกับคำพูดตามมาสองประโยคที่ฟังยากเพราะร้องไห้ไปด้วย แต่ก็ฟังเข้าใจ ...
"ริชชี่กำลังจะตาย" ... "ริชชี่ไม่หายใจแล้ว"
เสียใจมั้ย เสียใจสิ ... แต่สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นคือปลอบแม่ แม่อย่าร้องไห้นะ มันไปดีแล้ว มันไม่ทรมานแล้ว แต่เราไม่ร้องไห้ เข้าใจแล้วว่าคนที่เป็นเสาหลักครอบครัวต้องเข้มแข็งเพราะอะไร นาทีนั้นแหละที่เข้าใจ แต่สิ่งที่เสียใจสุดๆจนถึงตอนนี้คือ เราไม่ได้ไปดูใจมัน ไม่ได้ไปส่งมันไปสวรรค์ เราเสียใจมาก ...
วันนั้นจึงนั่งรถแท็กซี่ตรงกลับบ้านตอนตีสอง พอถึงบ้านก็เห็นริชชี่นอนแน่นอนอยู่ในห้องเนย ตรงมุมที่มันชอบนอนตามปกติ มันเหมือนนอนหลับ มันเหมือนไม่ได้เป็นอะไร มันแค่นอนหลับ แค่มันไม่หายใจแล้ว ...
พ่อบอกว่าตอนมันตาย มันอ้วกแล้วก็ชัก 3 ที แล้วก็หยุดหายใจทันที ซึ่งเป็นวิธีการจากไปแบบธรรมชาติที่ทรมานน้อยสุดรองจากการหลับไปเลย ตรงกับความต้องการในใจที่อยากให้มันจากไปโดยไม่ทรมาน
ตอนนั้นจึงใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงที่เหลือ นอนกอดมัน ลูบมัน หนุนมัน หอมมัน เพื่อจำความรู้สึกเหล่านั้นไว้ เพราะรู้ว่าเมื่อพ้นเช้าวันนั้นไปแล้ว เราจะไม่ได้สัมผัสกับมันอีก
เช้าวันนั้นพามันไปสวดศพและเผาที่วัดคลองเตยใน เศร้าใจเหมือนกันที่ต้องเผา เพราะบ้านเรามันเล็ก ไม่มีพื้นที่จะฝังมันทั้งตัวได้
จนถึงตอนนั้นก็ยังไม่ร้องไห้ แต่พอพระเริ่มสวดเท่านั้นแหละ ... ภาพทั้งหมดตลอดเกือบสิบปีที่อยู่ด้วยกันก็กลับมา น้ำตาหยดแหมะ แหมะ แหมะ แหมะ เราจะไม่ได้เจอมันแล้วหรอ ริชชี่ ...
นาทีที่ส่งมันเข้าเมรุเป็นนาทีที่เจ็บปวด เรากอดมัน ลูบมัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจัง คำถามมากมายเข้ามาในหัว ความเจ็บปวด ความกดดันเกิดขึ้นในจิตใจ
เรายืนดูมันจนถึงวินาทีที่ไฟลุกท่วมก่อนเมรุจะปิดประตูลง ถึงจะเห็นแค่เสี้ยววินาทีแต่ก็ยอมรับว่าเป็นเสี้ยววินาทีที่เจ็บปวดมากที่ต้องมาเห็นน้องชายที่โตด้วยกันมา กำลังจะ "หายไป" แต่เราอยากจะเห็นจนถึงวินาทีสุดท้าย เพราะเหตุผลเดียวกัน เราโตด้วยกันมา มันกำลังจะหายไป เราก็อยากเห็นมันจนวินาทีสุดท้าย ...
เสี้ยววินาทีที่ไฟลุกท่วมขึ้นมาในเมรุ ทุกคนในบ้านร้องไห้ เดินไปกอดกัน ไม่ต้องแปลกใจที่ทำไมหมาตายตัวนึงถึงเจ็บปวดขนาดนี้ เพราะทุกคนในบ้านเห็นมันเป็นสมาชิกในครอบครัว ไม่เคยคิดเลยว่ามันคือสัตว์เลี้ยง การจากไปครั้งนี้ก็คงเทียบได้กับการเสียพ่อน้องคนสนิทที่อยู่ด้วยกันทุกวันไป สำหรับเราเหมือนเสียน้องชายที่โตด้วยกันมาไป
หลังจากนั้น 5 ชั่วโมง เราก็ไปรับเถ้ากระดูกของริชชี่กลับ ใจหาย ... หมาที่อยู่ด้วยกันมา นอนด้วยกัน กอดกัน ไปไหนไปด้วยกัน เลี้ยงแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เหลือเพียงชิ้นกระดูกไม่กี่ชิ้นอยู่ตรงหน้า ... ใจหาย ... จริงๆ
ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าโลกคงจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เวลาที่เรากลับบ้าน ไม่มีหมาที่ดีใจมากจนวิ่งไม่คิดชีวิตเพื่อมาต้อนรับแล้ว
เวลาที่เราเครียด จะไม่มีหมามาอ้อนให้ความสุขแล้ว
เวลาที่เราเศร้า จะไม่มีหมามาให้กำลังใจแล้ว
เวลาที่เราเหงา เราก็ไม่มีหมาให้กอดอีกแล้ว ...
ทุกวันนี้ไม่มีวินาทีไหนที่ไม่คิดถึงมัน คิดถึงมันตลอดเวลา ตอนนอน ตอนตื่น ตอนเดิน ตอนทำงาน บางวันที่รู้สึกท้อ ก็อยากจะกลับบ้านไปกอดมัน แล้วค่อยระลึกได้ว่ามันไม่อยู่แล้วนี่นา ทุกวันนี้จะบอกว่ายังทำใจไม่ได้ก็คงถูก
ก็อยากจะขอโทษริชชี่ ขอโทษที่ไม่มีเวลาให้ ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ เราเคยสัญญาไว้ว่าก่อนมันตาย เราจะต้องหาบ้านใหม่ที่มีสนามหญ้าให้มันวิ่งเล่นได้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ มันทำให้เรารู้สึกแย่มาก ขอโทษจริงๆริชชี่ที่คำสัญญาเดียวที่พี่ให้ไว้ พี่ยังทำให้ไม่ได้ ... :( เพลงนี้คงจะบอกความรู้สึกของเราได้อย่างดี
ชีวิตหลังจากริชชี่จากไปเราก็เปลี่ยนไปพอควร ความเจ็บปวดจากการที่เราไม่สามารถทำตามสัญญาให้สมาชิกครอบครัวคนสำคัญอย่างริชชี่ได้ ก็ทำให้เราระลึกได้ว่า เราแคร์คนอื่นมากเกินไป แต่เรากลับไม่ค่อยมีเวลาให้คนในครอบครัวเลย เราจึงรู้ตัวว่าพักหลังนี้เราค่อยๆเย็นชาลง โยนทุกอย่างทิ้ง ไม่แคร์สิ่งใด ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายเท่านั้น เพื่อหวังว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่ได้ก่อนพ่อแม่แก่เฒ่า เราจะต้องไม่ผิดพลาดซ้ำสองอีก ... ถึงตอนนี้จะหมดตัว หนี้ท่วมเพราะยืมเงินคนไปรักษาริชชี่จนหมด แลกกับการยิดเวลาให้มันอยู่กับเราอีก 3 เดือนเต็ม แต่ก็จะพยายามเต็มที่ สุดความสามารถ
ยังไงก็หลับให้สบายนะริชชี่ ไปวิ่งเล่นบนสนามหญ้าบนสวรรค์นะ สักวันพี่จะไปหา สักวันเราจะได้เจอกันอีก พี่ยังจำทุกสัมผัสทุกเวลาที่เราอยู่ด้วยกันได้ ไว้ไปคุยไปกอดกันอีกทีนะ รอพี่อยู่บนนั้นหละ ... ริชชี่