"ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เพื่อความฝันและวันข้างหน้า วันนี้เหนื่อยไม่ว่าถ้าหากมันทำให้มีวันหน้าที่สวยงามได้"
1 นาทีกับการตัดสินใจ
27 Jun 2010 01:42   [5915 views]

หายไป 7 วันอย่างเป็นทางการ -*-


ใจจริงตั้งใจจะเขียน Blog มาหลายวันแล้วหละ แต่เผอิญอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่เรื่องด่วนหลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นการประชุม 7 งานต่างวาระต่างสถานที่ตลอดอาทิตย์ รวมถึงเรื่องราวบางอย่างที่ถ้าใครตาม Twitter หรือ Facebook ก็คงรู้แล้ว วันนี้อยากจะมาจดบันทึกและแชร์เรื่องราวถึง "การตัดสินใจ" และเวลา "1 นาที"


เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งวันที่เรามีถ่ายงานตลอดวันรวมถึงมีสัมภาษณ์งานตอนเย็น (ไปสัมภาษณ์เค้า) ระหว่างถ่ายงานอยู่นั้น เธอคนนั้นก็โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแย่ว่า "ปวดหัวมาก ไม่ไหวแล้ว จะไปหาหมอให้เค้าฉีดยาให้" พอบอกว่าให้ไปเลยเธอก็บอกว่า "ไม่เอา รอเนยก่อน"


ได้ยินอย่างนั้นผนวกกับรู้นิสัยว่ายังไงก็จะรอแน่ๆไม่ยอมไปหาหมอเองก็เลยบอกไปว่า ให้ไปนอนพักก่อน เดี๋ยวจะไปหาที่ห้องหลักสัมภาษณ์งานเสร็จ (นับเป็นเวลาก็น่าจะอีก 3 ชั่วโมงหลังจากนั้น)


พอถ่ายงานเสร็จ (หลังจากวางสายไปเกือบชั่วโมง) เราก็ออกจากออฟฟิศเพื่อเดินทางไปสัมภาษณ์งาน ระหว่างเดินทางก็โทรไปเช็คว่าอาการเป็นไง ผลคือเธอรับสายแต่พูดไม่ได้แล้ว นาทีนั้นคือสิ่งที่ต้อง "ตัดสินใจ" เพราะอาการของเค้าจริงๆอาจจะแค่หลับแล้วตื่นมารับสายแบบง่วงๆก็ได้หรืออาจจะแย่หนักก็ได้ ส่วนสัมภาษณ์งานก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างสำคัญมาก เพราะเราเป็นคนฝ่ายเทคนิคคนเดียวที่จะไปร่วมสัมภาษณ์


หลังจากตัดสินใจด้วยเวลา 1 นาที เลยติดต่อไปกับทางทีมสัมภาษณ์ว่า "ไม่ไปแล้ว จะพาคนสำคัญไปโรงบาล" พร้อมกับขอโทษขอโพยกันยกหนึ่งแล้วก็รีบขึ้น BTS แจ้นไปหาทันที


นี่เป็นการเดินทางจากวงเวียนใหญ่ไปอารีย์ที่ใช้เวลานานที่สุดตั้งแต่เคยเดินทางมา... ระหว่างทางก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเป็นอะไรไปนะ ส่วนอีกใจนึงก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปสัมภาษณ์งาน


จนรถไฟฟ้าไปถึงก็รีบขึ้นมอเตอร์ไซค์บึ่งไปหาที่หอจนตัวเองเกือบโดนรถใหญ่ชน(มอไซค์ขับได้บัดซบดีมาก) พอถึงหอก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องและเมื่อเปิดห้องมาก็เห็นห้องมืดสนิท พอเปิดไฟก็ถึงกับตกใจค่อนข้างมากเมื่อเห็นเธอนอนหมดสติเหงื่อแตกพลั่กและหายใจรวยรินกองอยู่กับพื้น เมื่อเดินเข้าไปปลุกก็ไม่รู้สึกตัว สื่อสารไม่รู้เรื่อง ดวงตาไม่ตอบสนองแต่ร่างกายตอบสนอง เดินไม่ได้ น้ำตาไหลพรากตลอดเวลา ตัวเย็นเฉียบ ฯลฯ สรุปคือ... วิกฤติมาก...


นาทีนั้นลืมทุกอย่าง คิดอย่างเดียว จะพาเค้าไปโรงบาลยังไงให้เร็วที่สุด สุดท้ายก็อุ้มเค้าเดินไปเรียกแท็กซี่หน้าหออย่างทุลักทุเลแต่มีสติ (นึกสภาพคนทำงานมาเหนื่อยมากและเดินทางมาเหนื่อยมากๆจนแทบเดินไม่ไหว แต่มีอีกหนึ่งชีวิตฝากไว้อยู่ในมือ ก็เลยใช้แรงเท่าที่มีอุ้มเธอออกไปเรียกแท็กซี่ด้วยระยะทางประมาณ 200 เมตร) ระหว่างอุ้มไปทุกคนระหว่างทางตกใจและพากันฮือฮา... เพราะสภาพเธอแย่มากจริงจัง ส่วนเราก็รำพึงรำพัน เลิกฮือฮาแล้วมาช่วยหน่อยเห้อออออ -_- สุดท้ายก็มีคนช่วยคือยามที่ไปเรียกแท็กซี่ให้ ส่วนที่เหลือดูจะตกใจทำอะไรไม่ถูกเลยยืนให้กำลังใจนับสิบชีวิต


หลังจากนั้นก็พาไปส่งถึงมือหมอด้วยสภาพทุลักทุเลเช่นกันเพราะแท็กซี่ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกจนขับรถผิดๆถูกๆ ฮ่วยยยยย -*-


เรื่องนี้ก็จบลงด้วยการนอนโรงบาลไป 1 คืนและวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรแค่อาการหนักเลยออกจากโรงบาลได้ ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้วจ้า ไม่ต้องห่วงอะไรนะ


นี่ที่เล่ามานี่เป็นแค่รายละเอียดคร่าวๆ ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมาก ทั้งเรื่องประทับใจและเรื่องแย่ๆ แต่คงไม่เล่า แหะๆ แค่อยากจะให้เห็นโครงเรื่องแล้วก็ลองคิดดูว่าถ้าการ "ตัดสินใจ" ของเราครั้งนั้นเปลี่ยนเป็น "เธอคงไม่เป็นไรมาก หลับอยู่หละมั้ง เดี๋ยวไปสัมภาษณ์งานก่อนค่อยไปรับหาหมอยังทัน" ตอนนี้เธอคงจะไม่ได้อยู่กับเราแล้วแน่ๆ... (ไม่ได้เว่อร์ด้วย จากอาการที่ไปเจอก็เรียกว่าเกือบมาช้าไปแล้ว)


และถ้านาทีนั้นคำว่า "สติ" มันไม่อยู่กับตัว เราคงจะลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูกและจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้


และตลอดการเดินทางจากวงเวียนใหญ่ถึงหอเธอคนนั้นก็ได้รู้ว่า "1 นาที" มีค่าแค่ไหน ทุกนาทีคือความทุกข์ร้อนใจ มีทางไหนทำให้เร็วกว่าได้แม้แต่ 1 นาทีก็เอา จะแลกด้วยเงินเป็นร้อยเป็นพันเพื่อ 1 นาทีก็เอา และตอนที่ไปเจอก็รู้เลยว่า 1 นาทีนั้นสำหรับเราๆที่เดินใช้ชีวิตไปวันๆเนี่ย มันก็แค่เวลาแป๊บเดียว แต่สำหรับคนที่กำลังป่วยหนัก แค่ 1 นาทีกลับมีความหมายและสำคัญมาก หากเราช้าไปแม้แต่นาทีเดียวก็อาจจะกลายเป็นคำว่า "สายไป" ได้แล้ว


สุดท้ายก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงน้า เรื่องนี้เอามาเล่าตอนทุกอย่างจบแล้วด้วยดี ที่เหลือตอนนี้ก็แค่อาการป่วยเล็กน้อยที่ต้องรักษากันไป และก็เหลือความปวดแขน ขา สะบัก เอว หลังอย่างหนักของเนยจากการยกของหนัก -*- เป็นครั้งแรกเลยที่เรียกหาหมอนวด เลยทำให้ได้ประสบการณ์ใหม่กับการ "นวดน้ำมัน" ... มันหยึยๆเนอะ บรื๋อๆๆๆๆ (แต่ตอนนั้นไม่หยึยมากหรอก มันปวดตัวแสรดดดดดด)


สุดท้ายจริงๆก็ขอขอบคุณหนังเรื่อง Click ที่มอบประโยคประทับใจและเป็นคติหนึ่งในชีวิตมาจนถึงวันนี้


Family comes first


ก็ขอจบเพียงเท่านี้ละกัน โชคดีทุกท่าน อย่าลืมดำรงตัวเองอยู่ใน "สติ" เสมอหละ :D

บทความที่เกี่ยวข้อง

Jun 5, 2010, 00:58
5142 views
ช่วยวิเคราะห์อาการผมที
Jun 29, 2010, 18:33
7155 views
วิธี Downgrade gcc/g++
0 Comment(s)
Loading