ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วสินะที่เราไม่ได้คุยกัน ช่วงสี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า เป็นช่วงยากลำบากของชีวิตช่วงหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งเข้าออกโรงบาล ทั้งต้องปรับตัวมาอยู่คนเดียว ไม่มีคนที่โทรคุยทุกคืนทุกวัน ไม่มีคนที่คอยเป็นห่วงกันและกันแล้ว การเฉียดตายสองครั้ง และอีกหลายอย่างที่เล่าไม่ได้ แต่เรียกว่าทุกอย่างกระทบกระเทือนทั้งร่างกายและจิตใจครบหมดเลย
ก็บอกตามตรงว่าถึงเวลาจะผ่านมาสักพักนึงแล้ว แต่ทุกวันนี้จิตใจยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยังทำใจไม่ได้ ยังคิดถึงเค้าอยู่ตลอดเวลา จิตใจย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤติเหมือนกัน ทำอะไรก็คิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ กินไอติมเอย ดูหนังเอย กินข้าวเอย... ทำงานไม่ได้ วันๆก็เอาแต่เหม่อลอย แม้แต่ตอนนอนก็ยังฝันถึงเกือบทุกคืน ตื่นมาก็มานั่งเจ็บปวด หรือบางวันก็ตื่นมาพร้อมคราบน้ำตาเลย ก็ไม่รู้จะอีกกี่เดือนอีกกี่ปีถึงจะดีขึ้น ทุกคืนก็ได้แต่ภาวนาให้หลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่เสียใจเพราะเราทำครบเกือบทุกอย่างที่อยากทำแล้ว
ก็มานั่งๆคิดว่าแค่อกหักเอง ทุกคนเค้าก็ผ่านไปได้ ทำไมเราจะผ่านไปไม่ได้... แล้วเราก็พบว่าหลายคนผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้เพราะเค้ามีเพื่อน ในวันที่เค้าเลิกรากับคนรัก เค้ายังมีเพื่อนอยู่เคียงข้าง หันมามองตัวเอง... เราไม่มีเพื่อนสนิทเลย ไม่ได้เว่อร์แต่ไม่มีเลยจริงๆแม้แต่คนเดียว มีแต่เพื่อนที่เจอกันเป็นครั้งคราวทั้งนั้น ก็มีน้องอีกคนนึงที่ตัวเองอาจจะรู้สึกไปเองว่าสนิท แต่ตอนนี้ก็อยู่ต่างประเทศ นานๆได้คุยกันที ความรู้สึกตอนนี้ของเราก็ไม่ต่างกับคนที่ไม่เหลือใครแล้วจริงๆ เหลือเพียงตัวคนเดียว... จะมีก็แต่ริชชี่ที่ทุกวันนี้มันอยู่กับเราแทบจะตลอดเวลา จะกิน จะทำงาน จะนอน มันก็ตามมานอนข้างๆตลอด เหมือนมันรู้ว่าเรากำลังเศร้า
ตอนนี้อยากจะไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ หรือที่ไหนก็ได้ไกลๆเพื่อเป็นการพักกายพักใจ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องงานอีก... เรามีงานจำนวนมากต้องรับผิดชอบ แค่ตอนป่วยยังทำให้งานกระทบไปเพียบเลย ก็เลยยังพักไม่ได้ ได้อย่างมากก็หนีไปนั่งกินไอติมที่ Avenue หน้าบ้าน เสร็จก็กลับบ้านทำงานต่อ ยอมรับนะว่าเครียด... แต่ก็ยังรักษาสัตย์ในอาชีพการงานอยู่ ทิ้งงานไม่ได้ (บ้างานจนโดนทิ้ง สมน้ำหน้า)
เพื่อนก็ไม่มี เวลาก็ไม่มี คนสำคัญก็ทิ้งไป (หรือจะให้ถูกคือเราทิ้งเค้าเอง) หะหะ... อนาถจริงๆ เค้าไปก็ถูกแล้ว สมน้ำหน้าตัวเอง แต่ก็จะทำงานแบบนี้ไปอีกแค่ 4 เดือนนี่แหละ ปีนี้จะใช้หนี้ให้ครบหมด คอยดู จากนั้นก็จะใช้ชีวิตอย่างเอาแต่ใจบ้างละ จะกินจะเที่ยวอย่างเดียว จะทำให้คนที่คิดว่าเราเอาแต่บ้างานไปอย่างไร้ประโยชน์รู้ว่าเค้าคิดผิด
จะว่าไปโลกในสายตาเราทุกวันนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก ไม่รู้ว่าจะเพราะจากการป่วยหรือการจากลา หรืออาจจะผสมๆกัน... ตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าโลกเล็กลง ไม่มีเรื่องราวใดที่น่าตื่นเต้น ไม่มีเรื่องใดที่น่าสนใจ ซ้ำร้ายมีแต่เรื่องแย่ๆเต็มไปหมด ความแคร์คนอื่นน้อยลงมาก ใครจะทำอะไรก็เชิญ ดังนั้นใครอยากจะเลิกคบเราก็ยื่นใบสมัครได้เลยนะ ช่วงนี้ไม่แคร์ใครทั้งนั้น
แล้วก็หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น จากแต่ก่อนไม่เคยบำรุงรักษาผิวหน้าจนดำคล้ำและหยาบกร้าน ทุกวันนี้ซื้อนีเวีย + โฟมล้างหน้ามาโปะหน้า + ไปขัดหน้านวดหน้าบ่อยๆ ผิวหน้าทุกวันนี้ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสีและความเนียนเริ่มใกล้เคียงผิวตัวแล้ว (เป็นคนตัวขาวผิวเนียนแต่หน้าดำหนะ คงเพราะโดนรังสีจากจอคอมพ์แล้วไม่ดูแล) คิดว่าพอถึงช่วงที่หยุดเล่นคอมพ์ผิวน่าจะเนียนกิ๊กพอดี
เรื่องนอนไม่พอนี่ไม่มีอีกแล้ว ทุกวันจะนอนอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง จะมีบางวันที่ริชชี่มากวนจนนอนไม่ค่อยหลับ อันนั้นก็มีบ้างแต่ไม่บ่อย
ตั้งแต่ออกจากโรงบาลมาก็ไม่อดข้าวอีกเลย หิวก็กินตลอดเวลา ถ้าบ้านไม่มีอะไรกินก็เดินออกไปกิน Avenue หน้าบ้านแล้วกลับมาทำงานต่อ และก็ไม่เคยกินมาม่าอีกเลย แถมยังรู้สึกว่ามาม่าเป็นสิ่งไร้สาระไปแล้วด้วย ไม่จำเป็นจะไม่กินเลย
ชีวิตทุกวันนี้ก็เปลี่ยนไป หลายๆคนอาจจะแปลกใจที่ไม่เห็นเราออนไลน์ใน MSN มาสักพัก ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะเราเริ่มเดินห่างออกจากโลกอินเทอร์เนตมากขึ้นเรื่อยๆ บล็อคก็ไม่ค่อยอัพ เว็บบอร์ดต่างๆก็เลิกเล่นเกือบหมดแล้ว Social Networking ต่างๆก็แทบจะไม่ได้ใช้ MSN ก็ไม่ออนไลน์ รู้สึกไม่อยากคุยกับใคร พยายามตัดตัวเองจากสังคมอินเทอร์เนต เพื่อเตรียมตัวในการใช้ชีวิตที่ไม่ติดคอมพ์หลังจากอายุ 25 ตามที่ได้ตั้งใจไว้ เห็นหลายคนดูถูกไว้แล้วว่าเราไม่มีทางหลีกหนีจากคอมพ์ไปได้หรอก ก็คอยดูละกัน หะหะ ตอนนี้เราตัด IM อย่าง MSN ทิ้งจากชีวิตได้แล้ว จะเหลือก็เนตที่ยังตัดทิ้งไม่ได้ เพราะต้องเช็คเมล์ติดต่องาน แต่อีก 4 เดือนตัดได้แน่ คอยดูจ๊ะ
นอกจากนั้นแล้วหลายๆสิ่งในชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป อย่างนึงคือหลังจากออกจากโรงบาลใหม่ๆก็โง่ลงอย่างมีนัยสำคัญ ความจำแย่ลง สมาธิสั้น เหม่อลอย ทุกๆอย่างที่ทำเลยต้องใช้สมองคิดตลอดเวลาจนเหนื่อยล้า ขึ้นบันไดยังต้องคิดว่าต้องก้าวยังไง ซึ่งก็ส่งผลให้ทำอะไรด้วยสติมากขึ้น แต่หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ กลับสามารถใช้ความคิดอะไรได้ดีขึ้น และความสามารถในการควบคุมอะไรต่างๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถขับรถซอกแซ่กแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน และไม่อันตรายด้วย รวมถึงตอนที่คันเร่งค้างก็สามารถคุมรถได้ถึงจะขับอยู่ที่ 150 km/h
จะเห็นว่าทั้งหมดไม่ใช่ตัวเราเลย หรือถ้าให้เปรียบเทียบ ตอนนี้เหมือนมีอีกชีวิตหนึ่งเข้ามาอยู่ในตัวเรา (ซึ่งก็อาจจะจริง เพราะหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีบางอย่างที่บอกไม่ได้เกิดขึ้น) แต่ความเป็นตัวเราอย่างหนึ่งที่เราอยากจะให้มันหายไปคือ อยากให้เราลืมๆเค้าไปสักที
ดูโดยรวมเหมือนชีวิตจะดีขึ้นนะ ก็คงบอกว่าสุขภาพกายดีขึ้น แต่จิตใจตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง จิตใจแย่ลงมากๆ แย่ลงจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ในเวลาอันสั้น ถ้าเลือกได้ขอเหมือนเดิมดีกว่า เหมือนวันที่เรายังมีเค้าอยู่ข้างๆ โคดจะมีความสุขแล้ว... แต่ก็ไม่มีอีกแล้วหละ ^ ^ ... เฮ้อ... แล้วจิตใจที่แย่ลงก็ทำให้ร่างกายทรุดลงไปบ้าง อย่างอาทิตย์ที่แล้วเป็นไมเกรนติดกัน 12 วัน นานสุดตั้งแต่เคยเป็นแล้วมั้ง
แต่ก็สารภาพว่าความคิดเราตอนนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นคนเลวมากขึ้นเรื่อยๆ กลไกการปกป้องตัวเองเริ่มแปรเปลี่ยนความเจ็บปวดในการจากลาของคนที่รักหมดหัวใจเป็นความเกลียดชังสุดหัวใจชนิดไม่เคยเกลียดใครเท่านี้มาก่อน วันหนึ่งถ้าเกลียดอย่างสมบูรณ์แบบแล้วก็คงจะลืมเธอได้ ดังนั้นบอกได้เลย ใครยังคิดว่าเราเป็นคนดีอยู่ ให้โอกาสเปลี่ยนใจนะ เพราะตอนนี้เราไม่ใช่คนดีอีกต่อไปแล้ว หุหุ เป็นคนเลวไม่สนใจคนรอบข้างก็มีความสุขดีนะ
ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าผู้หญิงคนเดียวกับเวลาแค่หนึ่งเดือนจะทำให้คนคนนึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
ส่วนเรื่องงาน เดือนนี้จะได้เห็นผลงานของการยากลำบากของเราตลอดหลายเดือนละ ไว้คอยติดตามละกัน ^ ^
อ้อ สภาพการทำงานก็เปลี่ยนไป เดี๋ยว Blog หน้าจะเอามาให้ดูเล่นๆ