"ไม่ต้องมีเวทมนตร์ ไม่ต้องไปหาแม่มด แค่คุณทำสิ่งที่โลกระลึกถึงตลอดกาล แค่นั้นคุณก็เป็นอมตะแล้ว"
จากวันแรกถึงวันลา
15 Mar 2009 08:52   [6142 views]

17 กรกฎาคม 2549... ยังจำวันนั้นได้ดี


เราไปงานแถลงข่าว Samart Innovation Awards 2006 ในฐานะของ Champion ของปี 2005


ยังจำได้ดี มีนักข่าวหน้าตาน่ารักมากคนนึงเดินเข้ามาสัมภาษณ์ ทำเอาตอนสัมภาษณ์เราพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะตอนสัมภาษณ์ดันโดนบังคับให้มองหน้าด้วยสิ นักข่าวคนนั้นเป็นที่พูดถึงของพวกเรากันไปหลายวันเลยทีเดียว...


ถึงวันนั้นเราจะได้เบอร์และอีเมล์เค้ามา แต่เราก็ไม่กล้าโทรหรือเมล์ไปหรอก ขนาดเจอหน้ากันยังทำอะไรไม่ถูก โทรคุยจะเหลืออะไรหละ หะหะ


จนวันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน พี่ตาลประวีณมัยมาขอสัมภาษณ์เราในฐานะเด็กรุ่นใหม่ ช่างเผอิญเหมาะเจาะว่าเป็นรายการเดียวกับที่นักข่าวคนนั้นมาสัมภาษณ์


เราเลยได้คุยกันอีกครั้ง... ตอนนั้นเริ่มเชื่อเรื่องโชคชะตาบ้างแล้ว


วันเวลาผ่านไป เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น เธอเริ่มมีความสำคัญกับชีวิตมากขึ้นจนเริ่มขาดไม่ได้ แต่บอกตามตรงว่าเราไม่ได้จีบใดๆทั้งสิ้น แต่มันผูกพันธ์มากกว่า


ชีวิตช่วงนั้นช่างมีความสุข หิวข้าวก็นั่งรถไฟฟ้าจากจุฬาฯที่เราเรียนป.โทอยู่ ถ่อไปถึงสถานีข่าวที่อยู่ไกลมาก แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด แต่กลับสุขมากอีกต่างหาก


บางวันเห็นเธอทำงานดึกๆรู้สึกเป็นห่วงก็เลยไปรับกลับบ้านด้วยกัน นั่งรอเป็นชั่วโมงๆก็ไม่รู้สึกเบื่อ


อยู่มาวันหนึ่ง เธอบอกให้ไปหาบอกว่ามีของจะให้ วันนั้นจำได้ว่าเราวุ่นมากแต่เราก็รีบถ่อไปด้วยใจระทึก สุดท้ายเราได้บลูเบอร์รี่พายมาเป็นของขวัญ ถึงเธอจะบอกว่าเป็นของที่ทำเกินมา แต่ก็รู้สึกดีมากนะที่เธอยังคิดถึงคนอย่างเรา อุตส่าห์แบกมาจากบ้านเพื่อมาให้เรา...


ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีผู้หญิงทำขนมให้กินแบบนี้ กลับถึงบ้านไม่กล้ากินเลย นั่งถ่ายรูปไปยิ้มไป ตอนชิม...ถึงแป้งจะร่วนไปหน่อย แต่นาทีนั้นรสชาติไม่สำคัญหรอก... สองวันก็กินหมดถาด บลูเบอรี่พายถาดเล็กๆถาดนั้นทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาอีกเป็นเดือนๆเลย


มีอยู่ช่วงนึงทั้งเราและเธอเครียดเรื่องงาน เลยตัดสินใจไปเสม็ดกัน... นั่นถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราเดินทางไปเที่ยวด้วยตัวเอง ทั้งๆที่อายุเราเท่ากันแต่เธอดูคล่องแคล่วกับการเที่ยวต่างจังหวัดมาก แถมเธอยังชอบธรรมชาติแบบเดียวกับที่เราชอบ บอกตามตรงว่าเธอน่าประทับใจมากจริงๆ


วันหนึ่งเรามีโอกาสได้ไปทักทายกระต่ายที่บ้านเธอ แล้วเธอก็ทำอาหารจานแรกให้เรากิน... ข้าวแกงกะหรี่... เธอทำให้กินเพราะเราบอกว่าเราชอบ มันอร่อยมากจริงๆ แต่ความสุขในตอนนั้นมันมากกว่าความอร่อยเป็นล้านเท่า ถือเป็นอาหารมื้อแรกที่มีผู้หญิงทำให้เรา... เรามีความสุขจริงๆ


เธอช่างดีเสียเหลือเกิน ตอนนั้นเรารักเธอเข้าแล้วหละ แต่เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถเลี้ยงดูเธอได้ เราคุยเอ็มว่าเราไม่อยากเจอเธอแล้ว เพราะเรากลัวว่าเราจะเลี้ยงดูเธอไม่ได้ เราจะให้ความสุขเธอไม่ได้... วันนั้นเธอตามมาหาเราถึงจุฬาฯ ร้องไห้ แล้วเขย่าเราแรงมาก นาทีนั้นเราอยากดูแลเธอคนนี้


ลอยกระทงปี 49 ปีนั้นเราพาเธอไปลอยกระทงที่จุฬาฯ นักข่าวสาวสวยมาในชุดสบายๆ หนุ่มๆที่นั่งอยู่ในจุฬาฯคอยแซวตลอดทางที่เราเดินไปด้วยกัน... เราเห็นรอยยิ้มของผู้หญิงคนที่จูงมืออยู่... เรามีความสุขจริงๆ เป็นครั้งแรกที่เราได้เที่ยวงานลอยกระทงแบบจริงๆจังๆ


2 กุมภาพันธ์ 2550... เธอกลับจากการไปทำข่าวที่เกาหลีตอนมืดค่ำ ด้วยความเป็นห่วงเราเลยขอยืมรถแม่ไปรับ ขากลับระหว่างในรถ เราตกลงที่จะเป็นมากกว่าเพื่อนกัน เราตกลงจะดูแลกันและกันตลอดไปในฐานะ...แฟน...


ถือเป็นแฟนคนแรกของชีวิต แถมเป็นแฟนที่น่ารักมากๆด้วยสิ เราช่างเป็นคนที่โชคดีชะมัด อย่าว่าแต่แฟนน่ารักๆเลย แค่แฟนผมยังไม่เคยคิดเลยว่าจะมี ถือเป็นการรอยคอย 22 ปีที่คุ้มค่ามาก... วันนั้นผมตัดสินใจจะดูแลผู้หญิงคนนี้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ในวันแต่งงานผมจะพูดว่าผมโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอผู้หญิงคนนี้


จากวันนั้นเราคอยเติมเต็มกันและกันมาเรื่อยๆ คอยให้กำลังใจกันและกันมาเรื่อยๆ เธอช่างน่ารักจริงๆ... เธอแสดงออกว่าเธอรักฉันด้วยหัวใจจริงๆ หากวันนั้นเราไม่มีเธอเราคงไม่อาจฝ่าฟันเรื่องราวต่างๆได้


หลังจากนั้นเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันมากขึ้น มีทั้งไกลๆอย่างปาย เกาะเสม็ด(อีกรอบ) หรือใกล้ๆอย่างสวนรถไฟหรือจังหวัดอยุธยา ช่างเป็นเวลาที่มีความสุขจริงๆ


ทริปหนึ่ง ณ เกาะเสม็ด เราเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ... เราทำให้เธอเป็นแผลเหวอะและเป็นแผลเป็นจนถึงทุกวันนี้ ... เราเสียใจมาก และเป็นการตอกย้ำว่าเราจะดูแลผู้หญิงคนนี้ตลอดชีวิตให้ได้


ทุกครั้งที่เธอไปไหนไกล เธอก็จะคอยหาโปสการ์ดเขียนส่งมาให้เราโดยตลอด เราประทับใจมาก...


แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ราบรื่นซะทีเดียวหรอก หลังๆเราเริ่มทะเลาะกันบ้าง เพราะเห็นอะไรๆไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายเราก็เข้าใจกัน


ปลายปีเราไปแข่งงาน Forum Nokia Open C Challenge ... เธอยินดีมากกับรางวัลระดับโลกที่เราได้รับ เราก็รู้สึกดีมากเช่นกัน แข่งมากี่ครั้งๆก็ไม่เคยมีใครยินดีด้วยแบบนี้ ตอนกลับมาถึงเมืองไทยเธออยากให้ไปหา แต่เราไปไม่ได้ สุดท้ายเราทะเลาะกัน... ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางกว่า 14 ชั่วโมง ผสมกับความโกรธที่เธอไม่เข้าใจเรา เราเลยหลุดคำงี่เง่าที่สุดในชีวิตไป

...เราเลิกกันเถอะ...


นาทีนั้นเราทั้งสองเงียบและวางสายกันไป เราร้องไห้ แน่นอนเรารู้ว่าเธอก็ต้องร้องไห้อยู่เช่นกัน แต่เราต้องการสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยโทรไปขอโทษ


หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเธอโทรกลับมาด้วยน้ำเสียงสะอื้น เราอารมณ์เริ่มดีขึ้นแล้วเลยขอโทษไป แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ... "ความรู้สึกดีๆมันเอากลับมาไม่ได้แล้ว"


คืนนั้นผมร้องไห้หนักมาก หนึ่งปีกว่าที่รู้จักกัน กว่า 10 เดือนที่เป็นแฟนกัน สุดท้ายต้องมาจบที่คำโง่ๆจากอารมณ์ชั่ววูบคำเดียวหรอกหรอ...


จากนั้นฉันและเธอก็คบกันต่อไป แต่เธอไม่ให้เราเรียกว่าแฟนแล้ว แต่เราสองคนก็ยังใช้ชีวิตกันต่อไปเหมือนเดิม


ในใจเราดีใจเล็กๆ เธอคงยกโทษให้เราแล้ว


ช่วงปี 2551 เป็นช่วงที่งานเราเยอะมาก เยอะจนทำงานแทบจะ 7 วันต่อสัปดาห์ มีเวลาเจอกันเดือนละไม่กี่ครั้ง เรากับเธอเลยเริ่มห่างเหินกันไป แต่ด้วยความรู้สึกของตัวเองว่าเธอกับเรารักกัน เธอคงเข้าใจ เธอคงรับได้ แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังโทรคุยกันทุกคืนทุกวันไม่มีขาดแม้แต่วันเดียว


เป็นช่วงที่งานเยอะมากจริง แถมเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วย ทุกครั้งที่เราสองคนมีปัญหา คนแรกที่เราทั้งคู่จะนึกถึงก็คือกันและกันนี้แหละ เธอมีปัญหาเรารับฟัง เรามีปัญหาเธอรับฟัง แต่พักหลังอาจจะเริ่มถี่เกินไป เริ่มหนักเกินไป โดยหารู้ไม่ว่ามันทำให้เธอหดหู่ไปด้วย


ตลอดปีนี้เราทะเลาะกันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะความงี่เง่าของเราเอง เราเหนื่อยจนพาลไปทะเลาะกับเค้า


ชีวิตตลอด 2551 นี้เรียกว่าสั่นคลอนมากทีเดียว สาเหตุหลักๆก็เพราะเรางี่เง่าเอง เราเครียดกับงานแล้วไปลงกับเธอ แถมก็ไม่มีเวลาให้เธอเลยอีกต่างหาก เพราะมีหนี้ค้ำคออยู่ เราเลยต้องทำงานอย่างหนัก


ทุกครั้งที่เราไปบ้านเธอ ส่วนใหญ่เราก็จะนอนๆๆๆๆ เพราะว่าตอนอยู่บ้านเราเอาแต่ทำงาน พอไปบ้านเธอก็เลยรู้สึกเพลียรู้สึกง่วง เธอรู้สึกแย่ที่เรามากี่ทีก็เอาแต่นอน แทนที่จะออกไปเที่ยวเล่นกัน... เราเข้าใจ แต่เราฝืนร่างกายตัวเองไม่ได้... เราเห็นแก่ตัวจริงๆ


ปี 51 นี้ชีวิตของเธอก็เจอเรื่องแย่ๆมากมายเหมือนกัน มีเรื่องใหญ่ต้องตัดสินใจ การเปลี่ยนอาชีพหนะ... มันเป็นเรื่องที่เราต้องตัดสินใจด้วยเช่นกัน เพราะเรารู้ว่าถ้าเธอเปลี่ยนอาชีพเรากับเค้าจะต้องเลิกรากันแน่ แต่หลังจากคิดว่าอาชีพใหม่นี้มันดีต่อตัวเธอมากเราเลยดันให้เธอเปลี่ยนอาชีพเต็มที่ คอยให้คำปรึกษาและกำลังใจเรื่อยๆจนเธอสมัครและสอบติดสำเร็จ เราช่วยเธอทุกอย่างจนเธอผ่านทุกขั้นตอน


เรามีความสุข เราดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเธอ แต่ใจนึงก็หวั่น หวั่นว่าเราจะไม่ได้เดินด้วยกันอีก...


และแล้ว... ปลายปี 2551 เธอโทรคุยกันกับเราเหมือนเดิมเป็นปกติ แต่คำพูดหนึ่งทำให้เราชะงักงันไป "เมื่อไหร่จะเลิกรักเรา" ... เราก็หัวเราะแหะๆนึกว่าเธอพูดเล่น แต่เธอก็พูดย้ำเพื่อบอกว่า "เธอพูดจริง"... เราถามเธอว่าทำไม เธอบอกว่าเราเลิกกันมาปีกว่าแล้วนะ แล้วเนยก็ทำตัวไม่ดีขึ้นเลย เอาแต่ทำงาน เครียด คิดมาก ทำเอาเธอรู้สึกไม่ดี

... ก็เพิ่งรู้ว่าตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เธอไม่ได้รักเราแล้ว เราเป็นแค่เพื่อนกัน ...


... ก็เพิ่งรู้ว่าที่เราโทรไประบายว่าเหนื่อยจะเป็นจะตาย มันทำให้เราต้องเลิกรา ...


... ก็เพิ่งรู้ว่าที่ไปดูหนังกันไปเที่ยวกันบ่อยๆ แค่เพื่อน ...


... ก็เพิ่งรู้ว่าฉันเสียเธอไปจริงๆแล้ว ...


... ก็เพิ่งรู้ว่าเราคิดไปเองตลอดมา ...


นาทีนั้นเราลงไปนอนกองกับโซฟา เริ่มร้องไห้และขอวางสาย เธอโทรมาอีกครั้งเพื่อถามว่าเราเป็นอะไรมั้ย เราตอบว่าไม่เป็นไรแต่เราขอไม่เจอกันอีก เราทนความรู้สึกนี้ไม่ได้


วันต่อมาเธอมาหาเราที่บ้าน... เราทำอะไรไม่ได้นอกจากมองหน้าเธอแล้วร้องไห้ ร้องไห้แล้วก็ร้องไห้ คุยกันจนรู้เรื่องทั้งสองฝ่ายแล้วเธอก็กลับไป... นาทีที่เธอกำลังก้าวออกจากบ้านเราไปนั้น ยังจำภาพนั้นได้ดี นาทีนั้นเข้าใจดีเลยว่าคำว่าหัวใจสลายคืออะไร บทสรุปของสองปีกว่าที่เรารู้จักกันมา... สุดท้ายเราต้องเลิกกัน


หลังจากนั้น 1-2 อาทิตย์ เราทนไม่ได้ เราเลยติดต่อเธอกลับไป ใช้ชีวิตต่ออีก 1 อาทิตย์แล้วเราก็ขอลาอีก เพราะเราทนความเจ็บปวดไม่ได้


ก็รู้ว่าทำตัวเหมือนคนโรคจิต เธอก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เธอเลยไม่มีความสงสารหลงเหลือ เหลือแต่ความสมเพชและเวทนาในตัวเรา ... ก็สมควร


จากวันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีก จนถึงวันหนึ่งที่เราต้องไปช่วยงาน เราก็ได้เจอกันอีกครั้ง วันนั้นเราทำหน้าที่ขับรถไปกำแพงเพชรเพื่อพาเธอไปทำธุระ ขากลับเธอโกรธและหงุดหงิดมากในบางเรื่อง เธอต้องถึงบ้านภายในเที่ยงคืน แต่ตอนนั้นอยู่กำแพงเพชรก็สองทุ่มครึ่งไปแล้ว... เราก็ทำสิ่งที่ดีที่สุดคือขับรถที่เราไม่เคยขับมาก่อนด้วยความเร็ว 160 ตลอดทางจากกำแพงเพชรถึงกรุงเทพในเวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง จนเธอถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ พอถึงบ้านก็ได้รู้ตัวเองว่าเรากลัวจนตัวสั่น เพราะเรากลัวการขับรถเร็ว แต่เรามีความสุขเหลือเกินที่ทำประโยชน์ให้เธอ


จากวันนั้นเราเจอกันอีกเรื่อยๆ ทุกอย่างดูจะดีขึ้นจนเรารักเธออีก เราบอกเธอ แต่เธอไม่ต้องการ...


เป็นแบบนี้หลายรอบมาก เดี๋ยวก็หายหน้า เดี๋ยวก็เจอ จนเรื่องราวเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอบอกเธอเสียใจจริงๆที่เธอไปเขย่าผมในวันนั้น... เธอไม่น่าไปเขย่าผมเลย


เป็นคำที่ฟังแล้วเสียใจจริงๆ ไม่รู้ว่าเธอต้องการพูดเพื่อให้เราตัดใจหรือว่าพูดจากใจจริง แต่รู้ว่าเราเสียใจมาก


เรื่องราวค้างคาแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราได้รู้เรื่องราวบางเรื่อง... เราทำใจไม่ได้... เราร้องไห้หนักมาก และเมื่อคืนเราตัดสินใจขอลาจากอย่างถาวร ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก ไม่ต้องรู้เรื่องราวอะไรกันอีก


เปล่า เราไม่ใช่พวกไม่รักก็เกลียดกัน เพียงแต่เรารักเธอมากจนลืมเผื่อใจไว้ วันนี้เลยไม่รู้สึกต่างกับคนสำคัญมากในชีวิตไป เราไม่อยากเจอเธออีก เราไม่อยากเสียใจอีก


ชีวิตช่วงนี้มีความทุกข์มีปัญหามากมาย พอเจอเรื่องแย่ๆที เราหยิบมือถือขึ้นมา น้ำตาก็ไหล... เพราะเราพบว่าไม่มีใครที่เราจะโทรหาอีกต่อไปแล้ว เธอจากไปแล้ว... เธอไปแล้ว...


และแล้วชีวิตรักของคู่รักคู่หนึ่งต้องจบลงด้วยความงี่เง่าของผู้ชาย ด้วยคำสั้นๆว่า "เราเลิกกัน" และการทำงานที่หนักเกินไป


แต่มันก็ทำให้เราได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เราเข้าใจว่าเรากับเธอไม่ใช่คู่แท้กันหรอก เพราะรักแท้ไม่จบด้วยคำว่าเลิกกันหรอก และชีวิตของเรากับเธอถ้าเป็นแบบนี้ต่ออยู่ไปก็มีแต่ทะเลาะกัน เรามองอะไรไม่เคยตรงกันเลยนี่นา...


เพียงแต่เรามั่นใจว่าถ้าเราได้เจอกันหลังอายุ 25 ตอนที่เราเปลี่ยนแปลงชีวิตแล้ว เราคงจะมีความสุขกว่านี้ และคงจะอยู่ด้วยกันได้ รักกันได้ และคงได้แต่งงานกัน


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราก็เจ็บปวดเหลือเกิน อยากจะหนีไปให้ไกล อยากจะไปที่ที่ลืมทุกสิ่งได้ อยากแม้แต่จะหลับไปตลอดกาล...


ยังไงวันนี้เรารู้สึกดีนะที่เธอไป เธอคิดถูกแล้ว เราไม่มีดีพอที่จะพาเธอไปถึงวันข้างหน้าหรอก


ขอบคุณทุกอย่างที่เธอทำให้ฉัน ขอโทษทุกสิ่งที่ฉันทำให้เธอรู้สึกไม่ดี


ขอให้ชีวิตเธอในอนาคตจงมีแต่ความสุขและรุ่งเรือง ขอให้เค้าคือรักแท้ของเธอ ขอให้เธอกับเค้าได้แต่งงานกัน... เพียงแต่วันนั้นไม่ต้องเชิญเราไป และเราไม่อยากจะรับรู้ใดๆทั้งสิ้น ขอให้เธอใช้ชีวิตของเธอไปก็พอ


และนายคนนั้น ขอให้นายรู้ว่านายโชคดีมากที่ได้เธอคนนี้ไป ขอให้ดูแลเธออย่างดี อย่าให้เธอหลุดมือไป ถ้าไม่อยากเป็นคนโง่แบบเนยคนนี้


และนี่คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่อยากให้เธอได้รู้ว่า... เราจำเรื่องของเราสองคนได้ทุกอย่าง และเราเสียใจที่เรารักษาเธอไว้ไม่ได้ เราไม่คิดจะรอเธอกลับมา แต่ถ้าวันนั้นมีจริง เราจะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปอีก ...


จากคนโง่ๆคนนึง... ที่รักเธอยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง ...


และก็เป็นจดหมายที่อยากจะให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าคนที่ผิดไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นฝ่ายชายล้วนๆ เค้ารักเนยมาก แต่เนยเองที่รักษาเค้าไม่ได้ และวันนี้ที่เราเจ็บปวดก็เป็นสิ่งที่เราทำเอง ฉันผิดเอง


แต่ยังไง สำหรับเธอกับฉัน เราคงจะไม่ได้เจอกันอีก


เราคงจะไม่ได้ไปกินแซลมอนอร่อยๆกันอีก


เราคงจะไม่ได้ไปนอนเล่นในเกาะในป่ากันอีก


เราคงจะไม่ได้ไปกินกุ้งเผากันอีก


เราคงจะไม่ได้นั่งเล่นกระต่ายพร้อมกันอีก


เราคงจะไม่ได้นั่งทำความสะอาดบ้านกันอีก


เราคงจะไม่ได้นั่งทำอาหารกินกันอีก


เราคงจะต้องขอลาและพูดว่า


...ลาก่อน...


ตลอดกาล ... ตลอดไป


Goodbye Forever


... My Dear ...

บทความที่เกี่ยวข้อง

Mar 18, 2009, 23:07
12194 views
ออกจากโรงบาลแล้ว
Mar 9, 2009, 03:45
5102 views
เนยโปะแป้ง
0 Comment(s)
Loading