สิ่งหนึ่งที่ยอมรับแบบไม่อายใครมาตั้งนานแล้วคือ เราเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่เสมอไป การที่ยอมรับว่าเรามีปัญหาตรงนี้ ทำให้เราพยายามหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่ทำให้เศร้าหมอง หลีกหนีทุกความเครียดเท่าที่ทำได้และทำให้คนรอบข้างหัวเราะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขไปด้วย รวมถึงผลักดันตัวเอง ทำทุกอย่างให้ชีวิตตัวเองมีค่า จนทำบ้าทำบออะไรมาเยอะแยะก็ไม่รู้จนถึงตอนนี้
แต่ช่วงชีวิต 2-3 เดือนที่ผ่านมา โรคซึมเศร้าได้กลับมาโจมตีขั้นรุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปีจากการถูกกระทบทางจิตใจครั้งใหญ่ จนทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย และเป็นครั้งแรกที่ต้องไปหาหมอจิตเวชเพื่อบำบัด (เอาจริงๆคือณิชส่งไป)
และการที่เป็นโรคซึมเศร้าอย่างเปิดเผยนี้เอง ทำให้ได้รู้ความจริงอย่างหนึ่งว่า คนรอบข้างมีอาการของโรคซึมเศร้าเยอะเหมือนกัน ทั้งแบบที่รู้ตัวและแบบที่ไม่รู้ตัว อีกทั้งหลายต่อหลายคนก็มีอาการของ Bipolar Disorder หรือโรคอารมณ์สองขั้ว โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน (หรือรู้ตัวแต่ไม่ยอมรับก็ไม่รู้)
ระหว่างที่จิตใจตกต่ำอยู่นั้น มีคนคอยมาปลอบใจให้กำลังใจอยู่เรื่อยๆ (ซาบซึ้งใจมาก ขอบคุณนะทุกคน~) เกินครึ่งบอกให้ไปดูตลก ไปนั่งสมาธิ ไปทำอะไรที่บันเทิงๆ แล้วจิตใจจะได้ดีขึ้น แต่ในฐานะคนที่เป็นโรคซึมเศร้าในขณะนั้น บอกได้เลย ดูตลกก็ร้องไห้ก็อยากทำร้ายตัวเองได้ นั่งสมาธิก็อยากจะหยุดหายใจไปซะตอนนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ก็สงสัยเหมือนกันนะว่าทำไม มันก็ควรจะช่วยนี่นา ... แต่ผลกลับไม่ช่วยอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้จึงไปนั่งศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังดู จึงค้นพบความจริงที่ว่า การดูอะไรที่ตลกเป็นการบรรเทา "ความเครียด" ไม่ใช่ "โรคซึมเศร้า" และ "สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน"
ถึงผลที่ออกมามันจะเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจเหมือนกัน แต่มันก็เหมือนแพ้อากาศกับไข้หวัดที่สุดท้ายจามเหมือนกัน แต่ความจริงมันไม่เหมือนกันและใช้วิธีรักษาต่างกัน
Blog นี้เลยมาเขียนว่าสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร
ความเครียด (Stress)
ความเครียดเป็นเรื่องระยะสั้น เกิดขึ้นได้กับทุกคน ในวัยเรียน มีเด็กนักเรียนถึง 85% ที่ต้องผจญความเครียดนี้ ความเครียดมีผลดีในการกระตุ้นให้คนทำอะไรดีๆเผื่อฝ่าฟันความเครียดนั้น แต่ถ้าไม่รู้จักดีลกับมัน ก็อาจจะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน
อาการโดยทั่วไปของความเครียดมีดังต่อไปนี้
- นอนไม่หลับ
- รู้สึกเกินจะทนไหว
- มีปัญหาเรื่องความจำ
- โฟกัสอะไรไม่ค่อยได้ สมาธิสั้น
- พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป
- รู้สึกกังวล ประสาทเสีย กระสับกระส่าย
- โกรธและโมโหง่าย
- รู้สึกหมดแรง
- รู้สึกว่าเราผ่านอะไรยากๆในชีวิตไม่ไหวแล้ว
- ส่งผลต่อการเรียนและการใช้ชีวิต
สังเกตว่าความเครียดจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมแปลกๆ ทั้งนี้เพราะจิตใจกำลังจะสรรหาทางออกและวิธีคลายเครียดนั่นเอง วิธีการบำบัดความเครียดก็คือ ไปดูตลก ไปวิ่ง ไปร้องเกะ ทำจิตใจให้ผ่องใส รักษาสุขภาพ แล้วความเครียดจะหายไปหรืออย่างน้อยก็ดีขึ้นทันที คุณก็ใช้ชีวิตต่อได้
หลายคนเลือกที่จะกินยาแก้เครียดเพื่อให้หลับ เพื่อให้ร่างกายปกติขึ้น ต้องขอเตือนว่า "อย่า" นะครับ เพราะผลข้างเคียงมันเยอะและยาแก้เครียดที่กินแล้วดีขึ้นทันที จะทำให้คุณติดได้ ระยะยาวคุณจะกลายเป็นคนหวาดระแวงและขาดยาไม่ได้ไปในที่สุด a.k.a. ติดยา
ซึมเศร้า (Depression)
ซึมเศร้าเป็นเรื่องระยะยาว ไม่ใช่ทุกคนจะเผชิญมัน กล่าวว่าในเมกา มีนักเรียนที่เผชิญอาการซึมเศร้าอยู่ 28% หรือถ้าในผู้ใหญ่ก็จะมีอยู่ราวๆ 10% ของประชากร ซึ่งน้อยกว่าความเครียดมาก แต่ด้วยตัวเลขก็ถือว่าเยอะ
โรคซึมเศร้าเป็น "โรค" ที่ต้องได้รับการรักษา มีสาเหตุเกิดจากหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต เช่นพ่อแม่ที่รักมาก เกิดเสียชีวิตกระทันหัน ทำใจไม่ได้ เกิดเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด หรือบางคนเป็นเรื่องระยะยาว ตอนเด็กมีปมอะไรในใจ ทำให้โตมาแล้วซึมเศร้าตลอดเวลา ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้สารเคมีในสมองผิดปกติ เกิดเป็นความเศร้าครอบคลุมจิตใจตลอดเวลา
อาการของโรคซึมเศร้ามีดังนี้
- เก็บตัว แยกตัวออกจากสังคม
- รู้สึกเศร้าและสิ้นหวัง
- หมดพลัง ไร้แรงบันดาลใจจะทำอะไร
- ทำสิ่งที่ชอบทำมาตลอดไม่ได้
- ชอบตัดสินใจอะไรแย่ๆ
- นอนไม่พอ เหนื่อยตลอดเวลา ไม่ค่อยมีแรง
- กินมากหรือน้อยกว่าปกติ
- นอนมากหรือน้อยกว่าปกติ
- โฟกัสกับอะไรไม่ได้
- มีปัญหากับความทรงจำ
- รู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกผิดตลอดเวลา รู้สึกทำให้ตนเองและครอบครัวผิดหวัง
- ไม่เห็นค่าของตัวเอง
- ก้าวร้าว
- รู้สึกว่าไม่สามารถผ่านเรื่องราวอะไรยากๆในชีวิตได้ ยอมแพ้กับชีวิต
- มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
- มีอาการต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- อยากฆ่าตัวตาย
สิ่งที่อันตรายที่สุดในโรคซึมเศร้าคืออาการอยากฆ่าตัวตายนี่แหละ ว่ากันว่าในปี 2020 จะมีคนตายจากโรคซึมเศร้ามากเป็นอันดับสองรองจากโรคหัวใจ
แบบประเมินว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่าจะทำเป็นขั้นตอนคือเริ่มด้วย 2Q ซึ่งเป็นการประเมินแบบหยาบ
หากตอบว่า "ไม่" ทั้งสองข้อ คุณไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า
แต่ถ้าตอบใช่ "ใช่" ข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งสองข้อ คุณมีความเสี่ยง ให้ทำใบประเมินความรุนแรงของโรคซึมเศร้า 9Q ต่อ
ช่วงคะแนน ถ้าได้น้อยกว่า 7 ถือว่าปกติดี
ถ้าได้ 7-12 คะแนน ถือว่าเป็นโรคซึมเศร้าระดับน้อย ชิวๆ สบายๆ ให้ไปรับการปรึกษาเบาๆ แล้วกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ
ถ้าได้ 13-18 คะแนนถือว่าเป็นระดับปานกลาง แต่ถ้าได้ 19 คะแนนขึ้นไป ถือว่ารุนแรง ดังนั้นผู้ที่ได้ 13 คะแนนขึ้นไป ต้องส่งพบจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัดโดยด่วน
แต่อย่าเพิ่งรีบไปบำบัด ยังมีอีกฟอร์มให้ประเมิน สำหรับผู้ที่ได้ตั้งแต่ 7 คะแนนขึ้นไป ให้ไปทำแบบประเมินการฆ่าตัวตาย 8Q ต่อ
หากได้ 1-8 คะแนนแปลว่าแนวโน้มต่ำ 9-16 แนวโน้มปานกลาง สองกลุ่มนี้ให้ไปรับการปรึกษา รับยา แล้วก็กลับบ้านไปต่อสู้กับมัน
ส่วนถ้าได้ตั้งแต่ 17 คะแนนเป็นต้นไป ถือว่ามีแนวโน้มรุนแรงมาก ชนิดกลับบ้านไปอาจจะฆ่าตัวตายทันทีคืนนั้นเลย ควรจะได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด บางเคสหมอจะจับ Admit เลย
การรักษาโรคซึมเศร้า
อย่างที่บอกว่าโรคซึมเศร้ามันเป็น "โรค" มีการศึกษามานานแล้วว่าสาเหตุหนึ่งเกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล (อันจะเกิดจากอะไรก็ตามแต่)
มียาต้านเศร้าถูกพัฒนาออกมาหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น TCA ซึ่งราคาไม่แพงแต่ผลข้างเคียงค่อนข้างเยอะ หรือตัวล่าสุดคือกลุ่ม SSRI ที่ราคาแพงมาหน่อย แต่ผลข้างเคียงน้อย
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าซื้อยากินด้วยตัวเอง ให้ไปหาหมอรับคำปรึกษาก่อน เพราะมันก็มีงานวิจัยหลายๆงานที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เช่นการให้ยา SSRI ในวัยรุ่น อาจจะทำให้เกิดภาวะอยากฆ่าตัวตายในช่วงแรกได้
อย่างที่เนยได้มาจากหมอคือยา Zoloft ที่กว่าจะเห็นผลก็ 2 อาทิตย์แหนะ (อาทิตย์แรกมึนหัวมาก) แต่ข้อดีคือไม่ติด (แต่ก็หยุดกินเองไม่ได้ ต้องใช้ลดปริมาณเอาก่อนจะหยุดถาวร)
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเวลาหรือยา ตอนนี้จิตใจดีขึ้นมาก ใช้ชีวิตได้เป็นปกติละครับ
อย่างไรก็ตาม ยาก็ช่วยได้ระดับนึง ให้คุณประคองจิตใจกลับมาได้ แต่ที่เหลือที่จะผลักดันคุณต่อไปให้สำเร็จรุ่งเรือง ก็อยู่ที่ตัวคุณแหละนะ เพราะนี่มันเป็นยาต้านเศร้า ไม่ใช่ยาประสบความสำเร็จ
อีกวิธีที่ช่วยได้ก็คือ NLP (Neuro-Linguistic Programming) ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ในการรักษาปัญหาทางจิตใจ ส่วนตัวฝึกด้วยตัวเองจนเห็นค่าของตัวเองมากขึ้น แต่ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามีหมอ NLP ในไทยรึเปล่า
โรคซึมเศร้ารักษาได้ หากคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยง ไปปรึกษาหมอเถอะครับ มันก็แค่โรคโรคนึงเท่านั้นเอง =)