"อย่าอิจฉาคนที่มีแฟนน่ารัก แต่จงอิจฉาคนที่มีแฟนที่รักกันสุดหัวใจ"
ห้าวัน ณ มัลดีฟ ตอน 2 : โศกนาฏกรรม 7D ที่มาของ 5D Mark II
25 Jul 2014 00:51   [8545 views]

คิดว่าถึงเวลาเขียนต่อแล้ว หลังจากเขียน Blog "ห้าวัน ณ มัลดีฟ ตอน 1" ไปไม่นาน คะ คะ แค่ .... 3 ปีกับ 5 เดือนเท่านั้นเอ๊งงง สบายๆเบาๆ จำอะไรแทบไม่ได้แล้ว งั้นจบแค่นี้ ... ก็แย่ละ จำไม่ค่อยได้ก็จะเขียน โอนะ อย่ามาห้าม หยั่มมาๆ


ความจริงคือ ตอนนั้นเผอิญมันมีเรื่องเศร้าอยู่ก็เลยไม่ได้เขียนต่อ เดี๋ยวจะกระทบจิตใจคนแถวนี้ แต่ตอนนี้เรื่องเศร้านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เลยเขียนได้ละ (อยากรู้ว่าเรื่องเศร้านั้นคืออะไร ลองอ่านไปเรื่อยๆดู)


หลังจากเย็นวันแรก ณ มัลดีฟได้ผ่านพ้นไป พระอาทิตย์ค่อยๆตกลงลับขอบฟ้าอย่างสวยงามและโรแมนติกมากเป็นอันดับต้นๆของชีวิตที่เคยได้เห็น นั่งอยู่ริม Water Bungalow มองออกไปมีแต่น้ำทะเลใสๆ ท้องฟ้าโปร่งๆ บรรยากาศดีชะมัด

สำหรับอาหารเย็นค่ำคืนนั้นก็คงตาม Concept เดิมทุกประการ มาทะเลทั้งทีอ่ะเนอะ หมูไก่วัวมีให้กินหมด อาหารทะเลไม่มีจ้าาาา อยากจะดำน้ำลงไปจับปูปลามาให้มันปิ้งให้กินจริงจริ๊งงงง แต่ตอนกลางคืนเริ่มปรับตัวได้ละ ก็โอเคนะ มีความสุขดี


ระหว่างเดินกลับห้องก็ยืนดูสัตว์โลกเพลินๆ ฉลามเอย กระเบนเอย ปูเสฉวนเอย น่ารักดี

คืนนั้นก็เข้านอนตามปกติ แต่ ... Bungalow มันมีสองฝั่งไง แล้วทั้งสองห้องเตียงมันอยู่ฝั่งชิดกันไง แล้ว แล้ว แล้ว เรานอนๆอยู่ ผนังห้องก็มีเสียง "ตึง" ! ตามด้วย "ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง" ตายๆๆๆๆ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่วิ่งหารูแอบดูห้องข้างๆว่าเกิดเหตุฆาตกรรมกันขึ้นรึเปล่า น่าเสียดาย ไม่มี ไม่เป็นไร นอนๆๆๆ อย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านนักเลย (แล้วก็ยังตึงต่อไปอีกสักพักกว่าสงครามจะสงบลง)


(ตัดไปตอนเช้า อย่าไปสนใจกลางคืนเลย มันมืด ... เนอะ!)


ตื่นมาตอนเช้าตามโปรแกรม พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า สีส้มที่สะท้อนไปกับท้องทะเล พาดผ่านระหว่างใบไม้มุงหลังคาบังกะโลว สวยงามมาก

ทุกอย่างดูสงบนิ่ง

อาหารเช้าก็เหมาะกับทะเลมาก ...

คิวเช้าวันนั้น เราต้องนั่งเรือมุ่งหน้าไปที่เกาะหลายต่อหลายเกาะ โดยแพคทุกอย่างไว้ในกระเป๋ากันน้ำอย่างดี

กันน้ำออกหนะ ...

เป็นการนั่งเรือที่สนุกมาก อีกนิดเมาละ - -

ใช้เวลาไม่นาน เราก็มาถึงเกาะแรก เป็นเกาะที่ชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่กัน

เนื่องจากว่าคนที่นั่นนับถือศาสนาที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงถ่ายรูปขึ้นได้ เราเลยเลี่ยงการถ่ายรูปผู้คน เน้นแต่สภาพเมือง

น้ำใสนิ้ง ชอบมากอ่ะ

ความหล่อความเท่ของชายหาดที่นี่คือ ... เท้าเปล่าเดินไม่ได้นะ เพราะมีแต่ซากปะการัง

จากนั้นก็กลับขึ้นเรือแล้วไป Snokeling กันกลางทะเลใกล้ๆหาดนิดหน่อย

และแล้วเรานั่งเรือกันต่อ ไปยังเกาะต่อไป

และนี่คือ "ภาพสุดท้าย" ที่ถ่ายจาก 7D ตัวนี้

ได้ยินไม่ผิด ใช่แล้ว "ภาพสุดท้าย"

เนื่องจากหาดนี้ตื้นมากและไม่มีท่าเรือ ทำให้เราต้องลงกลางทะเลแล้วค่อยๆเดินเข้าไป ทางลูกเรือบอกว่าเดี๋ยวเค้าจะจัดการเอาของลงจากเรือให้เพราะว่าถ้ากระโดดลงของจะเปียกและพังหมด เค้าจะ "โยน" ลงไปแล้วให้คนข้างล่างรับเอง จะได้ไม่ตกทะเล

ซึ่งเราก็โอเค ไว้ใจ

ณิชขึ้นเกาะไปก่อน ด้วยตัวเปล่า

จากนั้นพอณิชขึ้นเกาะเรียบร้อย เราก็กำลังจะตามลงไป โดยมีของเรานำไปก่อน

ระหว่างที่เรากำลังจะลงไปจากเรือนั้น มีสองเสียงดังขึ้นมา

เสียงแรกคือ

"จุ๋ม"

เสียงที่สองคือ

"กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

คงเดากันได้ ... ใช่แล้ว ลูกเรือโยนกระเป๋าเราลงไป ซึ่งข้างในมี 7D กล้องวีดีโอ Canon และมือถือ 4 เครื่อง แล้วคนข้างล่าง "รับพลาด" ส่งผลให้ของทั้งหมดร่วงลงไปสู่น้ำทะเลเป็นเวลาหลายวินาที

ภาพที่เห็นตอนนั้นคือณิชชี่เสียสติไปเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจาก 7D ตัวนี้ เป็นของแพงตัวแรกที่ณิชออกเงินซื้อเอง และเพิ่งซื้อมาได้ไม่ถึงเดือน ยังไม่ทันได้เริ่มผ่อนเลย

ส่วนเราก็รีบเอาของขึ้นจากน้ำแล้วเอาไปวางไว้บนเรือ พบว่า 7D และกล้องวีดีโอเปียกน้ำทะเลอย่างเต็มที่ (ซึ่งการเปียกน้ำทะเลนั้นเลวร้ายรุนแรงกว่าการเปียกน้ำจืดหลายเท่านัก) โชคยังดีที่มือถือ 4 เครื่อง เราเอายัดไว้ในกระเป๋าเล็กอีกที น้ำยังไม่ทันซึมเข้าไป ก็เลยรอดตายหวุดหวิด


ตอนอยู่บนเกาะนั้น ณิชกานต์อยู่ในโหมดคลั่ง นั่งร้องไห้ เอามีดจ้วงแทงหาดทรายไม่ยั้ง และพฤติกรรมแปลกๆต่างๆนานาที่สามารถขุดและคิดค้นขึ้นมาได้ จนคนอิตาลีที่ไปด้วยกันนั่งหัวเราะ แล้วเอาขนมมาให้กินเพื่อให้ใจเย็นลง

ส่วนเราก็พยายามกล่อม บอกว่าไม่พังหรอก ไม่พังหรอก เดี๋ยวมันก็แห้งนะๆๆๆ (ทั้งๆที่รู้ว่าไม่จริง)

หลังจากที่ทุกอย่างเย็นลง ก็เริ่มลงไปดำน้ำเล่น ใช้กล้องดำน้ำถ่ายรูปตามยถากรรม แต่ก็ไม่ค่อยสนุกแล้วหละ เป็นห่วงกล้อง

ผ่านไปชั่วโมงนึง ก็ถึงเวลาขึ้นจากเกาะ อย่างแรกที่ทำคือวิ่งไปดูกล้อง ... แห้งสนิทแล้ว เอาแบตใส่ กดเปิด ... หน้าจอมีขึ้นกระพริบๆว่า

Err

... พังอย่างเป็นทางการ ...

ณิชชี่ทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ แต่ก็เหมือนใจแข็งขึ้น ทำใจไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่อยากให้เนยเที่ยวไม่สนุก เลยเก็บอาการเอาไว้


เป็นโศกนาฏกรรมที่เศร้ามาก เพราะ 7D นี้มีคุณค่าทางจิตใจมากสำหรับคุณเธอ


จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากลับที่พักกัน ซึ่งตอนแรกเราว่าจะไปเอาเรื่องกับทางโรงแรม แต่พอมานั่งคิดๆว่าคนที่ทำผิดเป็นแค่ลูกเรือ ถ้าไปเอาผิดเค้า เค้าจะเดือดร้อนหนักขนาดไหน (ยังจะไปสงสารเค้าอีก) สุดท้ายเลยตกลงกับณิชว่าไม่เอาเรื่องละกัน ...


หลังจากนั้น ทริปมัลดีฟที่ไม่รู้ว่าจะได้ไปอีกหรือเปล่าในชีวิตนี้ ก็มีอันต้องดร็อปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่น่าเสียดายคือตลอดทริปหลังจากนั้น จำต้องถ่ายรูปด้วยมือถือ ซึ่งโชคดีที่มือถือที่เอาไปคือ Nokia N8 ซึ่งก็ยังดีที่กล้องมันเทพ ทำให้ภาพจากนั้นก็ยังสวยได้อยู่

และหลังจากที่กลับไทย เอากล้องไปส่งศูนย์ ก็ได้ผลตามคาด ... เกลือเกาะเต็มวงจร ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเปลี่ยนเมนบอร์ด ซึ่ง ... ราคาแพงกว่าซื้อบอร์ดี้ใหม่ #คอตก

เว้นไปอีกสองเดือน เห็นณิชต้องผ่อนเงินเป็นจำนวนเดือนละหลายพัน แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เราก็เลยตัดสินใจ ... จูงมือพาไปซื้อ Canon 5D Mark II ให้เป็นของขวัญ แล้วใช้เลนส์ตัวเก่าไปก่อน ซึ่งสำหรับเรา นี่ก็เป็นของแพงมากชิ้นแรกที่ซื้อด้วยเงินตัวเองเช่นกัน จากนั้นอีกหนึ่งปีก็ถึงซื้อ 24-70 มาเพิ่ม ก็กลายเป็นว่าสำหรับณิช ผ่อน 7D แต่ได้ 5D Mark II มาใช้ =)

หากไม่คิดถึงเรื่องเงินที่เสียไป เรื่องนี้ก็กลับกลายเป็นเรื่องดีๆ เพราะภาพจาก 5D Mark II ที่เป็น Full Frame นั้นสวยกว่า 7D มาก และเราก็มีโอกาสได้พัฒนาฝีมือการถ่ายภาพจากกล้องตัวนี้มากมาย จนถึงตอนนี้ก็ยังใช้อยู่

ทุกวันนี้ถ้าพูดถึง 7D ก็ยังมีคนทำท่าจะร้องไห้อยู่ แต่ก็จะตามมาด้วยรอยยิ้ม

เป็นอีกเรื่องที่คงจะจดจำไปจนตาย =)

บทความที่เกี่ยวข้อง

Aug 21, 2014, 02:27
4644 views
เมื่อเล็บฉันหลุด แต่กำลังจะไปวิ่ง 4 กิโลฯครั้งแรกกับงาน "Samsung Let's Glow Run to Asian Games 2014"
Jun 27, 2014, 02:15
32639 views
ประสบการณ์ดูหนัง ณ โรง Diplomat Screens by AIS ที่ Central Embassy
0 Comment(s)
Loading