ผ่านไปเดือนกว่าๆแต่เพิ่งมีเวลามาเขียน Blog ... จริงๆไม่มีเวลาหรอก บอกได้เต็มปากว่าอู้งานเพราะขาดแรงบันดาลใจ เลยขอมาระบายกับการเขียน Blog ละกัน
ทริปมัลดีฟนี้จริงๆควรจะเป็นเดือนธันวาฯที่ผ่านมา แต่เนื่องจากว่ามีงานเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งและต้องรีบปิดก่อนสิ้นปีทำให้ต้องเลื่อนไปเป็นต้นเดือนมกราคมซึ่งเป็นปีชงของเนยแทน ... เป็นไงหละ สบายใจขึ้นเยอะเลยหละสิ ... อ่าว ไม่หรอ -0- ซึ่งเรื่องของปีชงนี่ไม่ได้พูดเล่นๆนะ จริงจัง! ไว้จะเล่าให้ฟังกับทริปชงนี้
การเดินทางเริ่มวันที่ 4 มกราคม 2554 โดยขี่ Singapore Airlines ไปต่อที่สิงคโปร์เพื่อไปลงที่มาเล่ เมืองหลวงของมัลดีฟ
ส่วนคนที่ไปด้วยก็ ... คนเดิมแหละ (ถ้าเคยเห็นว่าเป็นคนอื่นก็ไม่ต้องมาทักนะเดี๋ยวความแตก)
ตอนนั่งเครื่องนี่ไม่รู้ว่าอดอยากกันมาจากไหน สั่งอะไรแม่มเกลี้ยงหมด!!
แต่มันอร่อยจริงๆแหละ แหะๆ ปรบมือๆ เลียจาน แผล่บๆๆ (ไม่กล้าถ่ายตอนกินหมดมา เกรงใจและอับอาย ก็ให้นึกภาพละกันว่าหมดเกลี้ยง ถ้าจานพลาสติกกินได้ก็กินไปแล้วอ่ะ)
ตอนไปถึงสิงคโปร์ก็อิ่มแปร้กันไป แต่ชีวิตต้องดิ้นรนอยู่ในสนามบินถึง 4 ชั่วโมงเพราะ Flight via มันนานมาก ก็เลยเดินไปครบทุก Terminal เลยทีเดียว และพอถึงเวลาขึ้นเครื่องก็แน่นอน ... สั่งอะไรก็กินหมดเกลี้ยงอีกแล้ว แหะๆ
อิ่มๆๆๆ อิ่มเสร็จก็นอนเพราะทริปนี้ช่างยาวนานเหลือเกินนนน
(ถ่ายรูปกันก่อนจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมา แช๊ะะะ)
ขอเม้าท์เล็กน้อย... จำได้ว่าตอนขาไปไม่มีฝนฟ้าคะนองกระเจิงใดๆทั้งสิ้น แต่หลุมอากาศเอย เสียงโครมครามเอย มีให้เชยชมตลอดทาง ... น่ากลัวสาดดดดดดดดดดดดดดดด แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ... ยกเว้นตอนลง ... อาการเส้นประสาทไมเกรนกับความดันมันทะเลาะกันก็กำเริบขึ้น ความรู้สึกเดิมๆก็บังเกิด เส้นประสาททุกเส้นที่เป็นไมเกรนเกิดทำงานพร้อมกัน ความรู้สึกบรรยายไม่ยาก ... มันคือความรู้สึกของเส้นเลือดที่แตกเลยหละ ... แตกเสร็จก็เจ็บ ... เอิ่ม หมายถึงเส้นเลือดแตกนะครับ คราวนี้กินเวลาการเจ็บเป็นสิบนาที เจ็บในระดับที่ทนไม่ได้ ดิ้นพราดเหมือนเด็กอยากได้ของเล่นเลยทีเดียว พอลงมาถึงพื้นอาการก็บรรเทาลงแต่หัวชาและ "งง" ไปเลย แย่ชะมัด กว่าจะหายดีก็เป็นชั่วโมง
สำหรับ Flight ขาไปนั้นเราเดินทางกันตอนกลางคืน กว่าจะถึงมัลดีฟก็ล่อไปห้าทุ่มแล้วครั้นจะไปต่อยังเกาะปลายทางก็ยังไม่ได้เพราะนักบินง่วงนอน ก็เลยต้องไปนอนตีพุงกันก่อนที่มาเล่คืนนึง ซึ่งวิธีไปก็แค่ขึ้นเรือจากเกาะสนามบินไปลงที่เกาะเมืองมาเล่ เสียเงินคนละ 1 เหรียญ แต่ถ้ามีเงินสกุลท้องถิ่นจะถูกลงครึ่งนึง - -
พอถึงห้องก็หยิบคอมพ์มาเปิดเล่นเนตกัน เรื่องชงเรื่องแรกจึงเกิดขึ้น ... หลังจาก Unpack ปลั๊กทั้งหมดออกมาแล้วก็บรรจงเสียบ Adapter MacBook Pro ของณิชกานต์เข้าไป ทันใดนั้นก็เกิดเสียง "ตู้ม!!" ... แน่นอนว่าไม่ใช่โกโก้ครั้นช์ แต่เป็นเสียงสักอย่างที่เสียบไปเนี่ยแหละระเบิด แต่นาทีนั้นไม่สามารถหาสาเหตุได้เพราะว่า... ไฟดับทั้งห้อง -_- ขณะนั้นก็เที่ยงคืนแล้ว ไฟดับอีก แสรดด สับ Breaker ในห้องก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เลยลงไปทำหน้าซื่อๆบอก Reception ว่า "ไฟดับอ่ะตะเอง ไปดูให้หน่อยดิ" เค้าก็ถามกลับ "มันดับยังไง" ... เอ้า กรูจะตอบยังไง ก็เลยบอกดับทั้งห้อง ... สายตา Reception เปลี่ยนไป มองเราละม้ายคล้ายตัวซวยทันที ประมาณว่าเกิดมาไม่เคยไฟดับ เพิ่งมาเคยเจอเมิงหนะแหละ!
จากนั้นก็มีช่างจากตึกใกล้ๆเดินมาดูให้ ปรากฎว่ามันไปตัดอยู่ในห้องควบคุมไฟเลย เค้าก็สับให้ด้วยสายตา "นี่เมิงทำอะไรกันไฟถึงตัดได้" เฮ้อ โล่ง นึกว่าต้องย้ายห้องซะละ
หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปก็พบว่าปลั๊กพ่วงที่พกไปดำเป็นตอตะโกไปเรียบร้อย ณ คืนนั้นก็คาดกันว่า Adapter ของ MacBook Pro คงจะไปสู่สรวงสวรรค์แล้วเป็นแน่แท้ แต่ปรากฎว่าเพิ่งมารู้ตอนอยู่กรุงเทพฯว่าจริงๆแล้วมันยังไม่พัง เหะๆ ประหยัดเงินไปสี่พัน แต่ก็เสียปลั๊กพ่วงไปเรียบร้อย ลางดีแต่ต้นทริปเลยทีเดียว
สุดท้ายก็ใช้ Adapter ของเนยไป ลำบากลำบนนิดหน่อยเพราะปลั๊ก Apple แม่ม ... หนัก เสียบปลั๊กลำบาก ทำยังไงก็หล่น เฮ้อๆ ตอนอยู่นั่นยืนด่า Steve Jobs ไปสามแสนคำต่อนาที
จากนั้นก็รีบนอนเพราะต้องตื่นแต่เช้าาา เพื่อขึ้นเครื่องไปยังเกาะ Velidhu ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่เราจองไว้
ระหว่างขึ้นเรือกลับไปยังเกาะสนามบินก็ได้เห็นสันเขื่อนแบบชัดๆ (เมื่อคืนเห็นแล้วแต่มืดเลยไม่รู้ว่าอะไร) เป็นสันเขื่อนที่น่าสนใจมากเพราะมันไม่ได้สร้างขึ้นมาเล่นๆแต่เอาไว้ "กันคลื่น" ... เห็นแล้วน่าเอาไปวางไว้หน้าโรงหนังจริงๆ ... มันกันคลื่นได้ ... อ่อ ไม่ใช่สินะ คนละคลื่นกัน! นี่เอาไว้กันคลื่นซัดหนะเนื่องจากว่าเกาะเวลาโดนคลื่นซัดมันก็จะค่อยๆถล่มไปเรื่อยๆ เค้าเลยสร้างเขื่อนขึ้นมาเพื่อลดแรงคลื่นและรักษาเกาะเอาไว้
พอถึงสนามบินก็ไปเช็คอินแล้วก็นั่งรถ Shuttle Bus ไปยังท่าเครื่องบินน้ำ ... ซึ่งแหม เห็นแล้วช่างชื่นใจ เหลืองแดงอยู่ด้วยกันได้
และเมื่อถึงท่าเครื่องบินน้ำก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองโดนหลอกให้ตื่นเช้า.... ต้องนั่งรออีกชั่วโมงครึ่ง แม่ม!!! งานนี้โชคดีที่ยัดหนังลง iPod Touch ไว้ก็เลยไม่เบื่อนัก
อ้อ กาแฟที่นั่นก็อร่อยดีนะ ถึงจะแพงไปหน่อยก็เหอะ =P
(กด Fast Forward .... > > > > > ... ) อ๊ะ ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว!!
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้น Sea Plane ยอมรับว่าตื่นเต้นมากเนื่องจากเป็นคนกลัวเครื่องบินเป็นทุนเดิม ยิ่งมาขึ้นเครื่องบินเล็กใบพัดพั่บๆๆๆ ... เรียกว่าโคดกลัวเลยหละ แต่ก็นะ ไปๆ ขำๆ ชิวๆ นักบินดูมือโปรดี ใส่ชุดนักบินครึ่งตัวบน ส่วนครึ่งตัวล่างกางเกงขาสั้นรองเท้า .... โนววว เค้าไม่ได้ใส่รองเท้าแตะ ... ถูก เค้าไม่ได้ใส่ ... นั่นแหละ ตีนเปล่า! -_-
แต่วิวสวยดีนะ
ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ถึงเกาะ พนักงานมายืนต้อนรับถึงเครื่องแล้วก็ลากไปเซ็นโน่นเซ็นนี่ ได้ปลอกแขนมาอันนึงพร้อมปึกเอกสาร "คู่มือการใช้ชีวิตบนเกาะ Velidhu" ... แม่เจ้าเหอะครับ มาเที่ยวกรูยังต้องอ่านคู่มืออีกหรือ
ซึ่งหลังจากอ่านคู่มือก็พบว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ความสุขลดลงไป 85% ทันทีเนื่องจากเราจองไปเป็นแบบ All Inclusive หมายความว่าเรากินอะไรก้ได้ตลอดวัน ทำนองนั้น แต่พอเอาเข้าจริงมันกินได้แค่นิดเดียวเอง ถ้าอยากได้โน่นนี่ต้องจ่ายเพิ่ม สรุปคือ All Inclusive ก็ได้แค่บุฟเฟต์ Soft Drink และอาหารว่างเท่านั้นเอง ... นี่คือจ่ายแพงสุดละนะ เลยรู้สึกว่า "เรามาติดเกาะหรอนี่" ... T_T
ช่างแม่ม มาถึงนี่แล้ว เดินไปที่พักละกัน เดิน ... เดิน ... เดิน ... ไกลสัด!! เผอิญแรดอยากพัก Water Bungalow เลยไกลโคดดดราวกับโดนรังแก แต่ก็สวยนะ ไม่เสียใจ
ห้องก็กว้างใหญ่ดี มีช่องกระจกมองลงไปในทะเลด้วย =D
ออกไปนั่งริมระเบียงกลางทะเลก็เพลินใจ
มีบันไดให้ลงทะเลไปเล่นน้ำป๋อมแป๋มด้วย :D ... (น้ำใสป่ะหละ คริคริ)
หลังจากกลิ้งไปกลิ้งมาแป๊บนึงก็ถึงอาหารเที่ยง เย้ๆ (กรูมากิน) เลยไปกินที่ห้องอาหาร ... ฟังดูเศร้าๆ แต่ก็ประมาณนั้น โดยอาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ที่เหมาะกับทะเลมาก...
มีครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหมูวัวไก่ ... ไม่มีอาหารทะเลเลย!! ซึ่งแน่นอน ... ถ้าอยากได้อาหารทะเล ... จ่ายเงินเพิ่มนะคร้าบ ... แสรด!! ความสุขในการไปเที่ยวก็ลดลงอีก น่าเบื่อมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จแบบเซ็งๆก็เดินไปตบ Snokel และ Fin ไปว่ายน้ำเล่น
ซึ่งก็ประเดิมการลงน้ำด้วยการ ... เดินเตะปะการังรูปหนามซึ่งแข็งกว่าปูนเข้าเต็มตรีน เสียเลือดไป 6 แผลเห็นจะได้ เอิ่ม - - ส่วนปะการังไม่ต้องห่วง ปกติดี แข็งแรงกว่าเท้าชั้นเยอะ
บ่ายนั้นใช้เวลาไปกับการกลิ้งไปกลิ้งมาในห้องดื่มด่ำบรรยากาศ (เดินทางมาเหนื่อยมาก อยากพัก) สุดท้ายพระอาทิตย์ก็ตกลง ... โรแมนติคดีจัง :)
ผ่านไปแล้ว 2 วันแต่เรื่องราวเกิดขึ้นมากมายราวกับไปอยู่เป็นอาทิตย์ เดี๋ยวเหลืออีกหลายวัน จะทยอยมาเขียนนะจ๊ะ ^_^