ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ตัว Blog... ต้องบอกก่อนว่า Blog นี้เราเขียนมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ถึงตอนนี้ก็ยังเขียนไม่เสร็จ เพราะทุกครั้งที่เขียนมักจะมีอะไรต้องทำให้เราหยุดเขียนก่อนเสมอ และอีกสาเหตุหลักๆคือ พอ Blog นี้ถูก Publish ไป เราก็อาจจะกลายเป็นคนบ้าไปในสายตาหลายๆคน เพราะสำหรับมนุษย์แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นเพียง "ความเชื่อ" เพราะทุกครั้งพวกวิทยาศาสตร์จ๋าจะพูดเสมอว่า "แล้วเอาอะไรมาพิสูจน์หละ" แต่รู้อย่างนี้เราก็ยังดันทุรังเขียนเพราะสำหรับเรามันไม่ใช่สิ่งที่เรา "เชื่อ" แต่เป็นสิ่งที่เรา "รู้"
Blog วันนี้จะไม่มาในแนวงมงายแต่จะมาในแนวงงงวยว่า "ทำไมถึงต้องมีสัมผัสที่หก" และเหตุการณ์ต่างๆที่ล้มล้างสิ่งที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์" ไปได้ ทำไมถึงเกิดขึ้นและมันคืออะไรเพื่ออะไรกันแน่
ถ้าใครจะอ่านบทความนี้ต่อ ขอให้คุณมั่นใจว่าคุณไม่กลัวผีและคุณสามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติถ้าคุณได้"รู้"ว่า รอบๆตัวที่คุณอาศัยอยู่ไม่ได้มีแค่คุณ
...
อ่ะ ยังมีเวลาปิดนะ
...
1...
2...
3...
โอเค เริ่มหละนะ!!
บทที่ 1 : จุดเริ่มต้นของเราในสิ่งที่คนอื่นเรียกว่า "ความเชื่อ"
...15 ปีมาแล้วที่เราเป็นไมเกรน...
ที่มาพูดแบบนี้ก็เพราะว่า...
เราเพิ่งนึกออกวันก่อนนี้เองว่าเราเริ่มเป็นไมเกรนครั้งแรกอย่งเป็นทางการเมื่อไหร่!!!
อยู่ดีๆภาพวันนั้นก็แว้บขึ้นมาในหัว เป็นวันที่เราลงไปนอนกองอยู่บนเก้าอี้ในห้องคอมพิวเตอร์ม.ต้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่สามารถขยับตัวได้ ตัวร้อนมาก ปวดหัวมากจนเดินไม่ไหว เพื่อนๆถามว่าเป็นอะไร เราก็ตอบได้แค่ว่าปวดหัวมาก ไม่ไหวและงอแงตามประสาเด็กๆ
ความรู้สึกวันนั้นคือเป็นอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและทรมานมาก
คงเป็นเพราะความเครียดในปัญหาหลายๆอย่างในช่วงวัยนั้น (เครียดแต่เด็ก แมนมั้ย!)
วันเวลาผ่านไป ผ่านไปและผ่านไป ไมเกรนที่ตอนแรกเป็นแค่อาการที่นานๆมาที สุดท้ายช่วงป.ตรี (ห้าปีให้หลังมานี้) ก็กลับกลายเป็นอาการที่อยู่ในชีวิตประจำวันเป็นที่เรียบร้อย หรือพูดง่ายๆคือ เป็นแมร่งทู้กกกกกวัน
แต่ช่วงที่เริ่มเป็นหนักนั่นเอง เราก็พบว่าเราเริ่มเห็นภาพบางอย่างแบบลางๆ ลางพอให้สับสนว่าเราเห็นจริงหรือเป็นเพียงมโนภาพหรือเป็นบ้ากันแน่!! ตอนนั้นจึงโลเลๆ คิดอยู่ว่าเป็นเพราะคิดไปเองรึเปล่า จึงไม่สนใจอะไร จนเวลาผ่านไปผ่านไป เริ่มมีเรื่องของคนโน้นคนนี้โผล่ขึ้นมา ทั้งเรื่องดีสุดโต่งอย่างความรักหรือความน่าเศร้าอย่างการเลิกรา รวมถึงการจากลาอย่างไม่มีวันกลับ และทั้งหมดก็เกิดขึ้นจริงๆตามที่เห็นภาพลางๆนั้น แต่ถ้าเทียบอัตราส่วนก็คงเหมือนโยนเหรียญคือ 50% กล่าวคือเห็นภาพ 100 เกิดขึ้นซะ 50
เวลาผ่านไปอีกนิดหน่อยก็เริ่มสนุกกับความสามารถตรงนี้ ก็ถึงได้รู้ว่า เรื่องความรักถูกเกือบ 100% (จนถึงตอนนี้พลาดไปแค่คู่เดียว กำลังยุให้มันเลิกกันอยู่ เอ้ย!!) แต่สำหรับเรื่องด้านลบเช่นการเกิดอุบัติเหตุ ภัยพิบัติ ฯลฯ เรากลับไม่แม่น แต่ภายหลังจึงได้รู้ว่าเรื่องใดก็ตามที่เราพูดออกไป มันจะยังไม่เกิด แต่ถูกเลื่อนออกไป (ย้ำว่าแค่ถูกเลื่อน) แต่ถ้าเราเก็บเอาไว้มันจะเกิดตามเวลานั้นๆไป
แต่อย่างไรก็ตามเรายังไม่มั่นใจนักหรอกว่าเราทำได้จริงหรือเป็นแค่สิ่งที่เราคิดไปเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปผ่านไปและผ่านไป (อีกแล้ว) ก็มีคนประเภทเดียวกันที่วนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ... ก็ไม่ได้เยอะมากหรอก ถึงตอนนี้มีประมาณ 3-4 คน แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะให้คำตอบกันและกันได้ว่าสิ่งที่พวกเราประสบอยู่นี้คืออะไร
ซึ่งมันสร้างความขนลุกได้ไม่น้อย เพราะข้อสรุปคือ... พวกเราไม่ได้บ้า และมันเป็นเรื่องจริง!!
อืมมม น่าสนใจ...
บทที่ 2 : ไมเกรนกับสัมผัสที่หก
ช่วงนั้นเราสนุกมากกับการดูดวง แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า "ทุกครั้งที่ดูดวงเราจะพบกับสิ่งที่เข้าตัวเสมอ" หนึ่งในสิ่งที่เราโดนมาตลอดนั่นคือ "ไมเกรน" เพิ่งมารู้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง มีอยู่ช่วงหนึ่ง หากเพื่อนๆใน Twitter จำได้ เราหยุดดูดวงเพื่อพิสูจน์ว่าไมเกรนมีความสัมพันธ์อะไรกับไมเกรนหรือไม่ ปรากฎว่าเราไม่เป็นไมเกรนเลย 1 อาทิตย์เต็มๆที่ไม่ดูดวง แต่ทันทีที่กลับมาดูอีกครั้ง ไมเกรนก็มาเยือนทันที
ตรงนี้ไม่มีคำอธิบายแน่ชัดสำหรับเรา บางคนก็บอกว่าเมื่อดูดวงจะมีข้อมูลไหลเข้ามาในสมองจนปวด แต่บางคนก็บอกว่าเป็นผลของการกระทำที่ทำให้ดวงชะตาที่บางคนควรได้รับเปลี่ยนไป หรือบางคนก็บอกว่าเจ้ากรรมนายเวรของคนที่เราช่วยนั้นหันมาทำร้ายเราเพราะไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง เฮ้อๆ หลายทฤษฎีเจรงๆ
นอกจากไมเกรนแล้วก็ยังมีเรื่องอื่นอีกเช่นการปวดท้อง ท้องเสียไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ฯลฯ ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าตกลงมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยสำหรับเรา แต่ที่พอจะรู้คือ สาเหตุที่มันเข้าตัวก็เพราะเค้าไม่ต้องการให้เปลี่ยนดวงชะตาหนะ Whatever will be will be!
ตรงนี้แค่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณมีเพื่อนที่มีสัมผัสที่หกก็อย่าไปขอให้เค้าดูดวงให้ มันจะทำให้คนดูดวงต้องทุกข์ทรมาน โอเค้?
บทที่ 3 : ผู้รู้และผู้เปลี่ยนแปลง
ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวและยอมรับในบางความสามารถที่มนุษย์ตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ควรมี ผมก็พบว่ามีคนประเภทเดียวกันนี้วนเวียนเข้ามาในชีวิตเรื่อยๆจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว บางคนก็รู้ว่าตัวเองมีแต่เก็บเงียบไว้ บางคนก็รู้เล็กน้อยว่าตัวเองทำนายอนาคตได้แต่ก็ยังสับสน บางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรได้ แต่ก็มักเผลอใช้ Sense ตัวเองโดยไม่รู้ตัว บางคนก็เห็นในทีวีด้วยนะเออ :)
สำหรับ Sense มีหลายแบบ ทั้งแบบอ่อนๆให้ผู้นั้นงงและสับสนกันไป(เช่นเรา) พวกนี้จะเห็นภาพโน่นภาพนี้ลางๆ บางๆ หรือบางทีก็แค่ความรู้สึก แต่ไม่เคยเห็นผีเป็นตัวเป็นตน จนถึง Sense แบบแรงๆที่คุยกับผีได้เลยก็มี ซึ่งพวกนี้บางคนก็ใช้ความสามารถตัวเองในทางที่ดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ (แต่ก็แน่นอนว่าเข้าตัว) แต่บางคนก็ใช้ความสามารถของตัวเองในทางที่ผิดเกิดเป็นหมอผีที่ไม่มีจริยธรรมหลายคน
และจากการสังเกต คนมี Sense จะมีความสามารถอย่างนึงอยู่แล้วคือ "ผู้รู้" แต่ก็จะความสามารถอื่นอีกได้แก่
1. ผู้บอกเล่า - คนประเภทนี้คือผู้ที่จะทำนายทายทักคนอื่น แต่ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม
2. ผู้เปลี่ยนแปลง - คนประเภทนี้คือผู้ที่เมื่อไปทักแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหรือเลื่อนออกไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้บอกเล่าหรือผู้เปลี่ยนแปลง เมื่อใช้ความสามารถตัวเองก็จะโดนของเข้าตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอ จึงเกิดเป็นคำถามที่เราถามคนโน้นคนนี้มาโดยตลอดว่า "ถ้าเราเห็นคนคนนึงจะเกิดอุบัติเหตุ เราจะเข้าไปทักเพื่อเปลี่ยนมันมั้ย" แรกๆเราทำนะ แต่ผลคือเราต้องทรมานกับอาการต่างๆมากมาย หลังจากได้ปรึกษากับหลายๆคนจึงได้ผลสรุปว่า "อย่า" เราปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามดวงชะตาดีกว่า ถึงคนคนนึงจะต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่นั่นคือวัฏจักรของชีวิต คิดให้ได้แบบนี้แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเอง
บทที่ 4 : หลักวิทยาศาสตร์
เรียนมาแต่เด็กว่าการที่เราเห็นภาพต่างๆนั้นเกิดจากการที่มีแสงกระทบสิ่งของแล้วเข้าตาเราสู่จอประสาทรับภาพ แล้วจึงส่งไปประมวลผลออกมาเป็นภาพในสมองต่อไป
แล้ว... คนที่เห็นผีเนี่ย... มันใช้หลักการอะไรหละ?!? แสงกระทบผีแล้วเข้าตาหรอ ก็คงไม่ใช่ หรือจอประสาทตารับภาพบางช่วงความถี่แสงได้ แล้วเผอิญผีอยู่ความถี่แสงงนั้นพอดี? ก็เป็นไปได้นะ... ว่าแต่ผีไม่มีกายเนื้อนี่นา แล้วทำไมถึงเห็นผีเป็นตัวตนได้?!?
ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยเขียนไว้ จริงอยู่ที่วิทยาศาสตร์เอาไว้อธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดในโลก แต่สำหรับสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากโลกนี้กลับไม่มี
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ เพียงแต่วิทยาศาสตร์เป็นการก้าวหน้าทางวัตถุจนลืมสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ ถ้าหากควบรวมเอาสิ่งนี้ไปด้วย เราอาจจะได้วิทยาศาสตร์อีกสายนึงที่ศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะก็เป็นไปได้ แต่... ก็ดีแล้วนะที่ไม่มี เพราะเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
แต่ถึงตอนนี้ Sense กับวิทยาศาสตร์ก็มีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างนะ จากการได้อยู่กับคนมี Sense เยอะ ทำให้เราสังเกตเห็นว่า
1. Sense สามารถส่งต่อทางพันธุกรรมได้ เช่นเดียวกับอาการไมเกรน หากเจอใครมี Sense ลองถามดูสิว่ามีพ่อแม่หรือญาติที่เป็นเหมือนกันมั้ย ดังนั้นถ้าใครคิดว่าตัวเองมีแล้วไม่รู้จะไปปรึกษาใครก็ไปถามพ่อแม่ได้เลย พ่อแม่เค้ารับได้แน่นอน ;) สำหรับครอบครัวเรา ฝ่ายแม่เป็นคนเข้าทรงกันหมด ยกเว้นแม่เราซึ่งมี Capability เพียงพอแต่ไม่ทำ ทางฝ่ายแม่เป็นไมเกรนกันเยอะ ซึ่งตกมาถึงเราและพี่สาวด้วย จึงพอจะบอกได้ว่า Sense น่าจะมีความเกี่ยวเนื่องกับลักษณะทางกายภาพด้วย
2. คนมี Sense ดูดวงตัวเองไม่ได้ - อันนี้ไม่รู้ว่าทำไม แต่เราก็ดูไม่ได้อ่ะ ดังนั้นพวกที่ชอบล้อหมอดูว่า "สงสัยลืมดูดวงตัวเองมา" ก็เข้าใจตรงนี้ไว้ด้วยว่า "เออ ดูไม่ได้!!" :P
3. คนมี Sense จะดูดวงคนแบบเดียวกันไม่ได้ - อันนี้เป็นสิ่งที่เราใช้ดูว่าใครมี Sense ถ้าเราดูใครไม่ได้เราจะถามเลยว่าคุณทำแบบนี้ๆได้ใช่มั้ย ซึ่งก็จริง! แต่อย่างไรก็ตามเราทำแบบนี้มากับ 2 คนเท่านั้นเลยยังสรุปไม่ได้หรอก ถามสาเหตุหรอ? อืม... ไม่บอก :p
อืม... น่าสนใจอีกแล้ว
บทที่ 5 : "ผี" เปิดโลกใหม่ "วิทยาศาสตร์"
ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยเห็นผีเป็นตัวเป็นตน และชีวิตนี้ก็คงจะไม่เคยเจอเพราะความสามารถและความซวยไม่มากพอ (ซึ่งดีแล้ว!!) แต่ว่ามีคนที่เห็นผีอยู่หลายคนที่เรารู้จัก ตั้งแต่เด็กก็คือญาติฝ่ายแม่ที่เข้าทรงนั่นเอง จึงได้รู้ว่าผีจริงๆแล้วมีจริง และเค้าก็เดินปะปนกับมนุษย์นี่แหละ หน้าตาก็ดูไม่แปลกแยก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในศีลในธรรมก็จะเห็นผีในรูปแบบอื่นๆที่น่ากลัวอีก...
แค่อยากจะบอกว่า ผีหนะมีจริง... ตอนอยู่ป.ตรีเราเรียนในหัวข้อ "การพิสูจน์ว่าอะไรเป็นจริง" แค่พิสูจน์ว่าเกิดสิ่งนั้นแค่ครั้งเดียวก็บอกได้แล้วว่ามันเป็นจริง ซึ่ง... สำหรับเรามันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า กี่ครั้งแล้วไม่รู้ ดังนั้นมันจะไม่ใช่สิ่งที่เรา "เชื่อ" อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เรา "รู้" ว่ามีจริง
แต่... สงสัยจังว่าทำไมถึงต้องมีคนที่ติดต่อผีได้...
บทที่ 6 : ก็แค่สงสัย "ความหมายของสัมผัสที่หก"
เขียนมาตั้งนาน ไม่ใช่เพราะอยากให้ทุกคนกลัวอะไรหรอกนะ (เพราะเรื่องที่น่ากลัวจริงๆเราไม่ได้เขียน ฮ่าๆๆๆ) แต่อยากให้ทุกคนปลงและทำความดีกันมากกว่า สำหรับเราเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติแล้ว ดังนั้นพื้นฐานความคิดเราจะไม่ได้อยู่แค่โลกมนุษย์แต่รวมไปถึงสิ่งที่อยู่คนละโลกกับเราด้วย จึงเกิดเป็นสิ่งที่เราสงสัยมากๆและสงสัยมานานแล้วและอยากรู้คำคอบมากๆคือ
ทำไมถึงต้องมีคนที่มีสัมผัสที่หก
นั่นสิ ทำไม!!
เมื่อมนุษย์คนหนึ่งเกิดมาแล้วก็เท่ากับได้รับสิทธิ์จะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์อย่างเต็มที่ แล้วทำไมถึงดันมีมนุษย์ที่ดันต้องทนทุกข์ทรมานกับการเห็นผีอีก?!? ทุกอย่างต้องมีเหตุผลในตัวมันเอง เรื่องนี้ก็ด้วย เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร... หรือพวกเค้าต้องการความช่วยเหลือจากคนที่มีกายเนื้อ? หรือแค่พวกเค้าต้องการให้รู้ว่าโลกนี้มีเรื่องบุญและกรรมจริงๆ? อันนี้ก็เก็บไว้ให้คิดกันว่าทำไม
อีกจุดประสงค์นึงที่เขียน Blog นี้ขึ้นมาคือ มีหลายคนที่มี Sense แต่ไม่อยากบอกใคร และไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงกับความสามารถของตัวเอง ก็ขอให้ลองอ่านแล้วเอาไป Apply กับชีวิตตัวเองดู สำหรับคำแนะนำสั้นๆของเราคือ "อย่าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้มาก" :)
อีกอย่างที่อยากบอกคือ "บุญและกรรมหนะมีจริง" ใครทำอะไรไว้สุดท้ายผลกรรมก็จะตามคุณทัน ขอให้ทุกคนจงทำมุ่งมั่นกับการทำความดี "ด้วยใจ" ไม่ใช่ทำความดีเพราะอยากขึ้นสวรรค์หรืออยากให้ตัวเองได้ดี เพราะบุญจะไม่เข้ามาหาคุณอย่างเต็มที่เนื่องจากมันเหมือนกับการติดสินบนวิญญาณนั่นแหละ ให้ผลของการกระทำทำให้เราได้ดีจะดีกว่า
ทั้งนี้ต้องบอกว่าที่ตัดสินใจมาเขียน Blog นี้เพราะเราเลิกดูดวงแล้ว ดังนั้นไม่ต้องมาให้เราดูนะ!! คริคริ และพักหลังเราก็ทิ้ง Sense ตัวเองไปแล้วด้วย (เรียกว่าปิดตัวเองทางจิต) และก็พบว่าตัวเองมีความสุขกับการใช้ชีวิตขึ้นมากเลย :) (ดังนั้นใครหาว่าเราหมกมุ่นงมงายก็เปลี่ยนความคิดซะ เอิ๊กๆ)
บทแถม : ประเทศไทยวันนี้และวันข้างหน้า
สังเกตมั้ยว่าพักหลังเราไม่ยุ่งเรื่องการเมืองเลย ก็เพราะเราเห็นภาพของอะไรบางอย่าง ซึ่งภาพนั้นเป็นภาพเดิมจากปีที่แล้วนั่นแหละ เพียงแต่มัน "เลื่อน" มา และตอนนี้มีสัญญาณมาแล้วว่ามันจะเกิดเร็วๆนี้ ครั้งนี้ไม่ขอบอกว่าเป็นอะไร เพราะคงถึงเวลาที่มันควรจะเกิดได้แล้วหละ
ถามว่าจะต้องเตรียมตัวยังไงกับความร้ายแรงที่กำลังจะเกิดนี้? บอกได้เลยว่า "แม้แต่เราก็ยังไม่เตรียมตัวอะไรเลย" เพราะคนบนฟ้าประทานอุตส่าห์ประทานสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" มาให้แล้ว ก็ใช้มันให้คุ้มกับการมีชีวิตดีกว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเถอะเนอะ
บทแถม : 2012
มีคนกลัวเรื่อง 2012 กันเยอะ เราบอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัวหรอก เพราะ...มันเกิดขึ้นแน่ๆ!! อ้าว กำ -_- แหะๆ แต่จะบอกว่าไม่ต้องกลัวจริงๆเพราะมันไม่ได้ร้ายแรงเหมือนในหนัง ยังไม่ได้ 10% ของในหนังเลยมั้ง แต่เหตุการณ์ต่างๆจะค่อยๆเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่นแผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮติและชิลี สองเหตุการณ์นี้เป็นเพียง "สัญญาณ" ของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดตามมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเหตุการณ์หิมะตกหนักสุดในรอบ xx ปี เหตุการณ์ฝนตก เหตุการณ์น้ำแล้ง ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นแค่การปูทาง และมันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และในปี 2012 ก็จะจบลงด้วยการสูญเสียเยอะเป็นประวัติการณ์ แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่โลกแตก แต่จะเป็น"ปีแห่งโลกใหม่"ต่างหาก โลกที่อยู่กับอย่างมีความสุขขึ้นและมนุษย์รักกันมากขึ้น
เราก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าเราจะรอดผ่านปี 2012 ไปได้รึเปล่า และก็ไม่อยากรู้ด้วย ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เคยบอกมา การใช้ชีวิต เรามีความสุขกับชีวิตทุกวันและทำสิ่งที่ใจอยากทำอยู่แล้ว หากจะต้องจากไปก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว :)
บทสรุป : ลิขิตฟ้า
ดูดวงคนมาหลายคน มีอยู่คนนึงถามคำถามเด็ดมาว่า "แล้วแบบนี้เราต้องก้มหน้ารับสิ่งที่พระเจ้าขีดไว้เท่านั้นหรอ"
ต้องบอกว่าชอบมากเลยนะคำถามนี้ เราคงต้องตอบว่าสำหรับบางเรื่อง "ใช่" แต่สำหรับหลายๆเรื่องพระเจ้ามอบของขวัญให้ทุกคนมาแล้วตั้งแต่เกิด ของขวัญที่จะเปลี่ยนลิขิตฟ้า.. :)
ทุกสิ่งเป็นไปตามฟ้าลิขิต แต่พระเจ้าบันดาลสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" เพื่อเปลี่ยนลิขิตฟ้า
ดังนั้นข่าวดีคือคุณมีสิทธิ์เลือกทางของคุณเองได้ ไม่ต้องสนใจดวงชะตาอะไรมาก เวลากลุ้มใจก็ไม่ต้องไปพึ่งหมอดู แต่พึ่ง "ตัวคุณเอง" นี่แหละ รับรอง เวอร์ค!!!
จบแล้วบันทึกอีกหน้าหนึ่งของ Computer Engineer คนนี้ อื้ม... ไม่เหมือนว่าเป็น Blog ของวิศวฯคอมพ์เลยใช่ม้า อิอิ เอาน่าาา นี่แหละ "ชีวิต"