"เงินไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือไม่มีเงิน"
พาดู Android Pie บน Samsung Galaxy Note 9 อัปเดตใหญ่ยักษ์เหมือนได้มือถือใหม่
20 Jan 2019 02:25   [46438 views]

ยินดีด้วยสำหรับผู้เป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Note 9 ทุกท่าน เพราะตอนนี้แอนดรอยด์รุ่นล่าสุดอย่าง Android Pie นั้นพร้อมให้คุณอัปเดตแล้ว ! ซึ่ง Note 9 ก็ถือเป็นมือถือหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ได้ Android Pie มาใช้งานเลย และการอัปเดตครั้งนี้ก็ถือว่าใหญ่มากเพราะมีขนาดถึง 1.6GB มีอะไรเปลี่ยนไปเยอะมากทั้งฟีเจอร์ของ Android Pie เองและการปรับปรุง UI ครั้งใหญ่ของ Samsung เองด้วย นี่อัปเดตปุ๊บราวกับได้มือถือใหม่เลยทีเดียว

เพื่อให้ผู้ใช้รุ่นอื่นอิจฉากัน วันนี้เลยขอพามาดูซะหน่อยว่า Android Pie บน Note 9 มีอะไรเปลี่ยนไปจาก Oreo บ้าง อ่ะ จัดปายยยย

สู่ UI ใหม่ "One UI"

Android Pie บน Samsung ถูกออกแบบใหม่หมดโดยใช้ภาษาดีไซน์ใหม่เน้นให้ "ใช้งานด้วยมือง่ายขึ้น ถูกสุขลักษณะขึ้นและใช้งานอย่างมีความสุขขึ้น" มาดูกันทีละหน้าว่ามีแนวทางการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

เริ่มต้นจาก Home Screen ซึ่งเป็นหน้าที่ค่อนข้างเหมือนเดิม แค่พวกไอคอนอะไรเปลี่ยนไป ไอคอนในแถบด้านล่างก็ไม่มีชื่อแอป ฯ แล้ว ประหยัดพื้นที่ไปได้จำนวนหนึ่งทำให้ไอคอนในแนวตั้งก็เลยห่างกันได้เยอะขึ้น ไม่แน่นขนัดเหมือนแต่ก่อนแล้ว

อย่างนึงที่อาจสังเกตก็คือ รวมถึงปุ่ม App Switcher (ซ้ายล่าง) ก็เปลี่ยนหน้าตาไปด้วย นั่นเพราะว่าหน้าตา App Switcher เปลี่ยนไปจากเดิมที่เรียงกันจากบนลงล่าง ก็เปลี่ยนไปเรียงจากซ้ายไปขวาแทน

ส่วนการปิดแอป ฯ ก็จะใช้วิธี "ปัดขึ้น" แทนการปัดไปด้านข้างเหมือนรุ่นก่อน

สำหรับ UI นี้เป็นการออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับ App Switcher ของ Android Pie ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบางคนชอบบางคนไม่ชอบ เพราะอันเดิมพอจะดูง่ายกว่าว่ามีแอป ฯ อะไรอยู่ตรงไหน กลายเป็นว่ามันเห็นแค่ตัวเดียวเท่านั้น อีกทั้งหน้าตายังลอก iOS มาเป๊ะ ๆ ชาวแอนดรอยด์จำนวนมากก็เลยไม่ค่อยแฮปปี้กับการเปลี่ยนแปลงนี้เท่าไหร่

แต่เดี๋ยวก็คงชินกันแหละ

สำหรับ UI อื่น ๆ โดยรวมจะถูกออกแบบมาให้ใหญ่ขึ้น ใช้พื้นที่มากขึ้นเพื่อให้สบายตาขึ้นและกดง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่นตัว Folder จะกินพื้นที่จอมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Notifications ก็ใหญ่ขึ้นมากในทุกส่วนและมีการนำความโค้งที่สื่อถึงการแบ่ง Section มาใช้งานด้วย

การใช้พื้นที่บนหน้าจออย่างเต็มที่ดูเหมือนจะเป็น Design Language แกนกลางของเจ้า Android Pie เลย รวมถึง Quick Settings ที่เดิมใน Android Oreo ตอนขยายออกมาจะยังมี Notification ด้านล่างติดมาอยู่ แต่กับ Android Pie แล้ว มันจะขยายไปเต็มหน้าจอให้กดง่าย ๆ เลย

ซึ่งสังเกตดูว่าไอคอน Quick Settings ทั้งหลายจะอยู่ค่อนไปทางด้านล่างทั้งหมด ก็เพื่อให้สามารถกดด้วยมือเดียวได้อย่างง่ายดายนั่นเอง ในขณะที่ถ้าเป็นรุ่นเก่าเราต้องเอื้อมมือไปกดอย่างยากลำบาก

เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ในแอป ฯ ของกูเกิลหลายตัวที่ติดมากับเครื่องครับ ยกตัวอย่างเช่นแอป ฯ Messages, Gallery, Settings และ Clock

ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี ใช้งานสะดวกขึ้นเยอะ แต่แอป ฯ ส่วนใหญ่ก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่นะ (รวมถึงแอป ฯ ของ Samsung ด้วย) คงอีกนานกว่าทุกคนจะเปลี่ยนแอป ฯ ตาม Design Language ตัวใหม่นี้

แล้วก็อย่างที่เห็น UI ทุกตัวถูกเอา "ขอบมุมโค้ง" มาใช้หมด โดยรวมสวยขึ้นเยอะมาก แต่ที่ดีกว่าคือการที่แอป ฯ มีการแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างสวยงาม ไม่ดูติดกันเป็นพรืด ความเนิร์ดลดลงเยอะ

แต่ก็มีบางแอป ฯ ที่รู้สึกว่าใช้พื้นที่เปลืองไปนิดนึง กว่าจะได้ข้อมูลที่ต้องการต้อง Scroll กันตาเหลือก 555 ก็ Trade Off อ่ะเนอะ

โดยรวมน่าจะเห็น Design Language ที่เปลี่ยนไปว่าแนวทางไปทางไหน มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ให้เห็นทั่วไปใน Android Pie บน Note 9 เลยครับ แคปเจอร์มาไม่หมด แต่ก็น่าจะพอมองเห็นภาพออกเนอะ

Icon เซตใหม่

ไอคอนของแอป ฯ พื้นฐานเปลี่ยนใหม่หมด ดูสบายตาขึ้นมาก

รวมกับความโค้งด้านบนแล้ว หากใครเคยใช้ MeeGo จะได้กลิ่นอายของ MeeGo เต็ม ๆ เลยหละ สวย ๆ

กด App Info จากไอคอนได้เลย

เราสามารถกดค้างที่ไอคอนแอป ฯ แล้วเลือก App Info เพื่อปรับแต่งแอป ฯ ได้เลย ง่ายกว่าไปกดใน Settings แล้วไล่หาแอป ฯ เยอะ

จริง ๆ ฟีเจอร์นี้เคยมีแล้ว แต่ก็หายไปตอน Oreo แล้วก็กลับมาอีกทีตอน Pie ครับ

Night Mode

ฟีเจอร์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Night Mode ก็มีมาพร้อม Android Pie แล้ว งานนี้แค่ไปเปิดใน Settings กริ๊กเดียว แอป ฯ พื้นฐานที่ติดมากับเครื่องทั้งหลายก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำฟอนต์ขาวแทนหมด รวมถึงพวก Notification Bar อะไรงี้ด้วย การเล่นตอนกลางคืนสบายตาขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม แอป ฯ 3rd Party อย่างเช่น Facebook, Twitter และแอป ฯ ใน Google Play Store จะไม่เปลี่ยนตามไปด้วยนะครับ

แอป ฯ กล้องเปลี่ยน Layout ใหม่

สำหรับแอป ฯ กล้องก็มีการปรับ UI ใหม่ สลับการเปลี่ยนโหมดมาอยู่ด้านล่างแทน (ด้านใกล้มือ) และเอาการเปลี่ยนค่าอื่น ๆ ที่มีโอกาสกดน้อยกว่า เช่น แฟลช ไปอยู่ด้านบน (ด้านไกลมือ) ก็เป็นการปรับตาม UX ที่ควรจะเป็นครับ

ไอคอนบางตัวก็สื่อเข้าใจง่ายขึ้น เนิร์ดน้อยลง เช่น ก่อนหน้านี้ไอคอนซูมจะใช้คำว่า x1 x2 แต่ตอนนี้กลายเป็นรูปมาตรฐานแทน

ในแง่ฟีเจอร์อื่น ๆ ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ครับ ไม่มีลดไม่มีเพิ่มแต่ใช้งานง่ายขึ้นมาก (แล้วก็เหมือน iOS ขึ้นอีกหนึ่งขยับ)

Gallery มี Trash แล้ว

หลายครั้งที่เราเผลอลบรูปทิ้งไปแล้วมาตกใจทีหลังว่า เฮ้ย ลบรูปผิด ! เดือดร้อนต้องวิ่งหาแอป ฯ กู้คืนรูปอีก แต่จากนี้ไม่ใช่ปัญหาแล้วเพราะ Android Pie บน Samsung Galaxy Note 9 มาพร้อมฟีเจอร์ "Trash" ให้เราสามารถลบแล้วไปวางไว้ในถังขยะก่อน แล้วอีก 15 วันมันถึงจะลบทิ้งถาวรให้โดยอัตโนมัติครับ

คราวนี้ก็จะทำให้การลบรูปทิ้งเป็นไปอย่างสบายใจขึ้น แต่ก็โน้ตไว้นิดนึงว่าถ้าต้องการลบรูปนั้นแบบถาวรในทันทีเลยก็ไปลบใน Trash ทิ้งด้วยนะ (ซึ่งแนวคิดก็ดีกว่าลบทิ้งไปเลยแล้วค่อยมากู้คืนนะ)

การลาก Pattern ที่คนอื่นแอบมองยากขึ้น

การลาก Pattern เป็นวิธี Unlock จอที่ได้รับความนิยมมากเนื่องจากง่ายและค่อนข้างปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่นึงที่อาจทำให้ Pattern ถูกขโมยได้คือ "มันถูกแอบดูได้" เพราะว่าเส้นที่ลากมันแสดงผลให้เห็นบนหน้าจอเลยนี่นา

บน Android Pie ก็เลยมีการปรับปรุงตรงนี้ให้เส้นหายไปหลังจากลากไปแป๊บนึง ทำให้สุดท้ายดูยากมาก ๆ ว่าลากยังไง

ส่วนตัวชอบการปรับปรุงอันนี้มาก ระแวงมานาน

ไอคอนหมุนจอ

ในอดีตตอนเราล็อคไม่ให้จอหมุนไว้แล้วเกิดอยากหมุนขึ้นมาเป็นครั้ง ๆ เราต้องไปเปิดให้จอหมุนได้ก่อนซึ่งก็ค่อนข้างยากลำบาก ลากบาร์ด้านบนลงมา กด Unlock ใช้งานเสร็จก็ต้องล็อคกลับ วุ่นวาย แต่บน Android Pie มันฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีการหมุนเครื่องเปลี่ยนแนวจอหรือเปล่า ถ้ามี ไอคอนหมุนจอจะปรากฎขึ้นมาบน Navigation Bar ตามที่วงไว้ครับ

เราก็แค่กดที่ไอคอนนั้น แอป ฯ ก็จะหมุนให้ถึงแม้ว่าเราจะล็อคจอไว้

ฟีเจอร์นี้ชอบ !

Fullscreen Navigation Gestures

แถบ Navigation Bar ด้านล่างที่เป็นปุ่ม App Switcher, Home และ Back บางคนก็รู้สึกว่ามันเปลืองพื้นที่แสดงผลจัง อยากให้แอป ฯ มันแสดงผลแบบเต็มจอไปเลยทำได้มั้ย ก่อนหน้านี้ก็ซ่อนแถบด้านล่างได้อยู่ แต่ต้อง Swipe ขึ้นมาแล้วกดปุ่มอีกทีนึง แต่บน Android Pie ให้เราใช้วิธี "ลากจากขอบจอด้านล่าง" แทน การกดปุ่มในตำแหน่งนั้น ๆ ได้เลย เช่น ถ้าลากจากขอบจอด้านล่างตรงกลางก็จะกลายเป็นการกด Home ไป ไม่ต้องลากให้แถบโผล่แล้วค่อยกดอีกต่อไป

ส่วนตัวลองเปิดแล้วไม่ชอบอย่างแรง แต่ถ้าใครคิดว่าจะชินกับมันได้ก็ลองเปิดดูได้ครับ

Slices ค้นหาข้อมูลในแอป ฯ ผ่าน Search ของเครื่อง

นับวันคนเริ่มเปิดแอป ฯ น้อยลงเรื่อย ๆ แอนดรอยด์ก็เลยออกแบบฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า "Slice" ให้แอป ฯ สามารถแสดงผลข้อมูลอะไรบางอย่างผ่านระบบ Search ของเครื่องได้ทันที

ยกตัวอย่างเช่น เรา Search หาคำว่า Do Not Disturb บน Oreo ก็จะแสดงผลเฉพาะ Settings ของเครื่อง หรือพวก Contact แล้วก็หมดแค่นั้น แต่กับ Pie มันมีไปดึงข้อมูลจากแอป ฯ ต่าง ๆ มาแสดงผลให้ด้วย อย่างที่เห็นว่ามี Google Play Store ไปค้นหาแอป ฯ ชื่อ Do Not Disturb มาให้ด้วย กดเปิดจากผลการค้นหาได้เลย สะดวกสุด ๆ

ไม่ใช่ทุกแอป ฯ ที่สนับสนุนฟีเจอร์ Slices แต่อนาคตหลัง Android Pie เริ่มเป็นที่นิยมก็น่าจะมีแอป ฯ สนับสนุนตรงนี้เพิ่มขึ้นครับ

Keyboard เพิ่มโหมด "Floating"

หลังจากอัปเฟิร์มแวร์ คีย์บอร์ดก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นแบบ "ลอยอยู่บนหน้าจอ" หรือ Floating แทนแบบเดิมที่ติดอยู่กับขอบจอด้านล่าง ซึ่งนี่เป็นโหมดใหม่ของคีย์บอร์ดซัมซุงบน Android Pie ครับ

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ ใช้งานยากกว่าแบบเดิมเยอะ สุดท้ายก็ปรับโหมดกลับเป็นแบบเดิม (Standard) อยู่ดี

(แต่ก็พอมีประโยชน์อยู่บ้างตอนทำ Multi Window)

อีกการเปลี่ยนแปลงนึงคือหน้าสำหรับพิมพ์ Emoji ภาพใหญ่ขึ้นกดง่ายขึ้นครับ

ก่อนหน้านี้กดผิดกดถูกบ่อยมาก ตอนนี้ชิวขึ้นเยอะ !

เซตให้ Bixby กดเปิดยากขึ้นได้

ว่ากันตามตรงว่า Bixby เป็นฟีเจอร์ที่ไม่มีใครใช้งานกัน แต่มีปุ่มที่บังเอิญไปโดนจนมันเด้งขึ้นมาโดยไม่ได้ต้องการอยู่บ่อยมาก ล่าสุดเราสามารถตั้งให้กดสองครั้งแทนที่จะกดครั้งเดียวเพื่อให้ Bixby Home เด้งขึ้นมาครับ

โอกาสบังเอิญโดนก็ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ดีขึ้นเยอะ

ฟีเจอร์ที่น่าเสียดายอยากใช้แต่ไม่มี "Digital Wellbeing"

หนึ่งในฟีเจอร์ที่รอใช้มานานมากแต่ปรากฎว่าไม่มีให้ใช้บน Android Pie ของ Note 9 คือ Digital Wellbeing

มันคือฟีเจอร์ที่เอาไว้นับว่าเราใช้เวลาไปกับแอป ฯ นั้น ๆ กี่นาทีต่อวัน และสามารถจำกัดได้ว่าจะให้ใช้แอป ฯ ได้มากสุดนานแค่ไหน ถ้าเกินเวลาก็จะเปิดแอป ฯ ไม่ได้อีก

เป็นฟีเจอร์ที่ดีแต่ปรากฎว่ามันเป็นฟีเจอร์ที่ Exclusive บน Google Pixel เท่านั้น อดเบย เขียนไว้เผื่อมีใครรอใช้เหมือนกัน

ยังมีฟีเจอร์อีกเยอะแต่เขียนไม่หมด

คือยังมีอีกหลายฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมา แต่ก็คัดเอาที่สำคัญ ๆ และน่าจะมี Impact ต่อผู้ใช้โดยตรงมาให้ดูกัน ก็จะมีอย่างอื่นอีกอย่างเช่น Intelligent Scan (การใช้ทั้งหน้าและม่านตาในการปลดล็อคหน้าจอ), Lockdown Mode (การจำกัดการปลดล็อคหน้าจอให้เหลือแต่ PIN/Pattern), Auto Optimization (สั่งคลีนเครื่องอัตโนมัติตามเวลาที่ตั้งไว้), Adaptive Brightness (ใช้ AI ปรับความสว่างหน้าจอให้ตามพฤติกรรมผู้ใช้) ฯลฯ สามารถไปหาอ่านเพิ่มได้ครับว่ามันคืออะไร ไม่ได้สำคัญมาก แต่ก็มีประโยชน์สำหรับบางคนอยู่

อัปเดตเลย !

ใครมี Note 9 ก็อัปได้เลยครับ ใช้มาหลายวัน เสถียรภาพดีมาก ไม่มีปัญหาใด ๆ ใช้งานแล้วแฮปปี้ ! =)

บทความที่เกี่ยวข้อง

Dec 29, 2018, 03:31
25503 views
เทียบกันหมัดต่อหมัด Osmo Pocket กับ Osmo Mobile 2 ต่างกันยังไง ซื้อตัวไหนใช้ดี ?
Sep 17, 2018, 06:45
36325 views
ไม่มีใครรักก็รักตัวเองให้เป็น มาทำรูปแยกร่างเท่ ๆ พิชิตความเหงาด้วย Samsung Galaxy Note 9 กัน
0 Comment(s)
Loading