"ท้อมีไว้ให้ลิงถือ"
Year In Review 2018 ปีที่แยกตัวออกจากสังคม ทำเพื่อตัวเองมากขึ้น ทำเพื่อคนอื่นน้อยลง
30 Dec 2018 23:26   [31597 views]

เวลาผ่านไปไวมาก เผลอแป๊บ ๆ ก็กำลังจะผ่านไปอีกปีแล้ว (ต่างกันช่วงเรียนลิบลับ ตอนนั้นทำไมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน) ก็ขอถือโอกาสนี้นั่งบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา รวมถึงกลั่นกรองสิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อประเมินตัวเองและส่งต่อข้อคิดที่อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างครับ

ปีที่สุขภาพแย่ที่สุดและดีที่สุด

ปีนี้เริ่มต้นมาไม่ดีเท่าไหร่เพราะเดือนมกราอยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการปวดหัวรุนแรง แบบ รุนแรงจริง ๆ หนักที่สุดในชีวิต ขนาดเป็นไมเกรนมาตั้งแต่ 10 ขวบแล้วมีภูมิต้านทานการปวดหัวในระดับสูงมากแล้วแท้ ๆ แต่การปวดครั้งนี้มันหนักหนาจริง ๆ (และก็ไม่ใช่ไมเกรนด้วย) ซึ่งส่งผลข้างเคียงตามมาหลายอย่าง เช่น ความจำหายเป็นช่วง ๆ สุดท้ายก็เข้าปล่องไปหลายรอบ ทำกายภาพ ฯลฯ มากมาย จนอาการเริ่มดีขึ้น

พอเริ่มปวดหัวน้อยลงก็เลยตัดสินใจเริ่มออกกำลังกายโดยเน้นไปที่ Weight Training และยืดกล้ามเนื้อมัดที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว

เป็นช่วงที่สุขภาพดีมากกกกกก มากที่สุดในชีวิต อาการไมเกรนแทบหายเป็นปลิดทิ้ง อาการปวดหัวรุนแรงไม่มีแล้ว น้ำหนักขึ้นมา 3-4 โล การตื่นการนอนทุกอย่างสมบูรณ์แบบมากกกกก ไม่ได้เข้าโรงบาลไปหลายเดือนเลย มีความสุขสุด ๆ ปีนี้ก็เลยเป็นปีที่ทั้งเจ็บป่วยรุนแรงที่สุดและสุขภาพดีที่สุดในปีเดียวกันไป

แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันอีกรอบเพราะไป ๆ มา ๆ ก็เป็นซึมเศร้าอย่างหนักอีกครั้ง ผลข้างเคียงของยาต้านเศร้าก็รุนแรงมาก ทำให้เกิดอาการวูบโดยไม่รู้ตัวเกือบทุกวัน ก็เลยทำให้ต้องหยุดการออกกำลังกายไป เดี๋ยวจะวูบเอาหัวไปฟาดโน่นฟาดนี่เข้า นี่จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้เข้ายิมอีกเลย สุดท้ายก็กลับมาปวดหัวและเข้าโรงบาลอีกรอบ

ตอนนี้โรควูบเพิ่งหาย เดี๋ยวจะกลับไปออกกำลังกายอีกรอบละ ก็นะ ปีนี้เป็นปีที่สุขภาพพลิกไปพลิกมาจริง ๆ แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง

Key Takeaway: การออกกำลังกายเป็นวิธีรักษา Office Syndrome ได้ดีที่สุดแล้ว หลังจากรักษามาทุกขนานที่เป็นไปได้ สุดท้ายวิธีที่เวอร์คที่สุดในระดับที่ไม่มีวิธีอื่นเทียบได้ก็คือ "การออกกำลังกาย" เป็นไปได้ก็อยากให้ออกกำลังกายกันทุกคนนะ =)

เปลี่ยนลุค: ใครว่าหน้าตาไม่สำคัญ ?

หลังจากไปหาหมอมาอย่างบ้าคลั่งตอนช่วงต้นปี สุดท้ายหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ปวดหัวรุนแรงคือสายตา หมอเลยสั่งบัญชามาให้ "ใส่แว่น" ซะนะ และนั่นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนลุคครั้งใหญ่ในปีนี้

ตั้งแต่โตมาก็เป็นคนไว้ผมยาวมาตลอดเพราะว่าผอมจนแก้มตอบเลยต้องเอาผมปิดแก้มไว้ แต่เผอิญปีที่แล้วไปอยู่เมกามาแล้วน้ำหนักขึ้นจนเริ่มมีแก้มขึ้นมา ก็เลยได้โอกาสตัดผมสั้นลง ไม่ต้องปิดแก้มแล้วหนิ

พอตัดผมสั้นจนเปิดหูได้ ก็เลยอยากลองอะไรใหม่ ๆ ... เดินไปเจาะหูดื้อ ๆ เลย สุดท้ายเลยได้ลุคใหม่ที่เพื่อนมัธยมปลายยังจำไม่ได้แบบนี้

ผลพวงที่ตามมาจากการเปลี่ยนลุคคือ ผู้คนรอบตัวปฏิบัติตัวกับเราเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนเลย แล้วก็เป็นเหมือน Feedback Loop ทำให้บุคลิกเราเลยเปลี่ยนไปตามลุคและการปฏิบัติตัวของคนรอบ ๆ ด้วย

ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดของปีนี้ เอาจริง ๆ อาจจะดีสุดในชีวิตเลย เวอร์คมาก เหมือนได้ชีวิตใหม่

Key Takeaway: ใครว่าหน้าตาไม่สำคัญ ? ปีนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะพอหน้าตาเปลี่ยนไปคนก็ปฏิบัติกับเราเปลี่ยนไปจริง ๆ จะบอกว่ามันสำคัญมากเลย และไม่ใช่แค่นั้น แต่รวมถึงบุคลิกต่าง ๆ ก็สำคัญเหมือนกัน ถึงจะฟังดูเศร้าเล็ก ๆ แต่มันคือความจริงว่าสุดท้ายแว้บแรกทุกคนก็ตัดสินเราจากภายนอกทั้งนั้นแหละ อยากให้ฝึกความสามารถในการแต่งตัว บุคลิกและการเข้าถึงคนอื่น แล้วโอกาสดี ๆ จะตามมาอีกมากมายครับ

เป็นปีที่ทำเพื่อคนอื่นน้อยลง

ชีวิตที่ผ่านมาเกินครึ่งนึงใช้เวลาไปกับการทำเพื่อคนอื่น เช่น การผลักดัน Community การเขียนบล็อก การคอยสอนคนอื่น ฯลฯ แต่สุดท้ายชีวิตตัวเองก็ยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หมดสักที ปีที่ผ่านมาเราก็เลยตัดสินใจว่าจะขอทำเพื่อคนอื่นน้อยลงจนถึงไม่ทำเลย แล้วโฟกัสไปที่การทำเพื่อตัวเองและคนใกล้ชิด(ครอบครัว)เป็นหลัก

ก็อย่างที่เห็น ปีนี้แทบไม่ได้เขียนบล็อกเลย อีเว้นต์ก็ไม่ได้ออก ผลก็คือชีวิตสงบขึ้น ได้พักมากขึ้นแต่ก็มีความสุขน้อยลง (เพราะชีวิตเราความสุขถูกผูกอยู่กับการให้ พอไม่ได้ให้ก็เลยไม่ค่อยสุขเท่าไหร่) แต่สถานการณ์ของปัญหาที่ประสบก็เบาบางลงบ้าง ได้อย่างก็เสียอย่างแหละเนอะ

มีโอกาสก็อยากทำเพื่อคนอื่นอีกครั้งนะ รอสถานการณ์เอื้ออำนวยก่อน

Key Takeaway: การให้นี่คือความสุขที่แท้จริง ใครมีโอกาสที่จะให้อะไรใครได้ก็อยากให้ทำนะ แต่ก็อย่าลืมเป็นห่วงตัวเองและคนสำคัญด้วย =)

แต่ก็มีจัดงานนะ

ปีนี้มีอยู่อีเว้นต์นึงที่ร่วมจัดกับน้อง ๆ นั่นคือ Pizza Hackathon นั่นเอง

ก็สนุกมาก มีโอกาสก็อยากจัดอีกนะ ^__^

เก็บตัวไม่ค่อยออกสื่อ

ก็ต่อเนื่องอีก มีสื่อเชิญสัมภาษณ์อะไรเรื่อย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไปเกือบหมด เพราะอยากจะ Low Profile (ถ้า High Profit ด้วยก็ดี แต่ยังไม่มีวี่แวว) ปีที่ผ่านมาก็เลยแทบไม่ได้ออกสื่อ มาออกอีกทีก็ปลายปีในรายการพี่เอิ้น พี่สาวคนสวยก็จัดหาแฟนให้ออกอากาศเลยทีเดียว 555

แต่ก็ยังพยายามผลักดันคนอื่น ๆ อยู่เรื่อย ๆ ตอนมีคนมาขอสัมภาษณ์ก็จะ Forward Contact ของคนที่คิดว่าน่าจะให้สัมภาษณ์เรื่องนั้น ๆ ได้ดี ซึ่งก็รู้สึกดีครับ อยู่เบื้องหลังมากขึ้นและคอยผลักดันคนรุ่นใหม่ให้ออกสู่หน้ากล้องและเป็นที่รู้จัก เราว่ามันดีต่อทุกคนดีนะ =)

ไม่มีใครเชิญไปงานละ

ก็ผลพวงจากการที่ใช้เวลาไปกับงาน ตัวเองและคนใกล้ชิดซะหมด ทำให้ไม่มีเวลาไปอีเว้นต์ใด ๆ เลย คนเชิญ 10 ไปซะ 1 หรือน้อยกว่านั้น สุดท้ายตอนนี้แทบไม่มีคนเชิญไปงานอะไรละ เศร้าใจเล็ก ๆ แต่ก็เข้าใจในความเป็นไป

แต่ก็ยังมีบางแบรนด์ที่ให้โอกาสและเชิญไปโน่นไปนี่อยู่เรื่อย ๆ เสมอมา ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็แทบไม่มีคนรู้จักแล้ว ก็ขอบคุณที่ไม่เคยลืมกันครับ =)

Key Takeaway: สุดท้ายเมื่อถึงวันนึงที่เราไม่เหลือความสำคัญแล้ว ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเขาแล้ว ชีวิตก็จะคัดกรองให้เองว่าใครที่ยังเหลืออยู่ ใครที่เห็นว่าเราสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่แค่มีผลประโยชน์ให้ ก็จงอยู่กับพวกเขาเหล่านั้นไว้นาน ๆ

เพื่อนน้อยลงแต่ธรรมชาติก็ช่วยคัดคนสำคัญมาให้

ก็ด้วยการที่ไม่ค่อยได้ออกไปเจอผู้คน สุดท้ายเลยได้พบปะคนน้อยมาก ซึ่งสุดท้ายก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่นึกถึงกันในวันที่เราเงียบหายไป ผลสุดท้ายตอนนี้เราก็เหลือเพื่อนอยู่ไม่มาก บางคนเป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด สุดท้ายปีนี้ก็เลิกคบกันไป ไม่คุยกันอีกแล้ว แต่นั่นแหละ อย่างที่เค้าว่ากันไว้ว่า ...

Key Takeaway: ในวันที่เราไม่เหลือใคร วันนั้นแหละที่จะบอกได้ว่าเพื่อนแท้คือใคร เมื่ออายุมากขึ้น เพื่อนคุณจะน้อยลง แต่คนที่เหลือนั่นแหละคือเพื่อนคนสำคัญกับคุณจริง ๆ

ใช้เงินน้อยมากกกกกก

ส่วนตัวเป็นคนประหยัดเงินมากอยู่แล้ว แต่ปีนี้เกิดประหยัดเป็นพิเศษ แต่ละเดือนใช้เงินน้อยมากกกก บางวันใช้เงินไม่ถึง 100 บาทเท่านั้นเอง ส่วน Gadget ปีนี้ก็เกิดความรู้สึกว่าไม่ได้อยากได้อะไรเลย อยากเก็บเงินมากกว่า ก็ทั้งปีซื้อแค่ Nintendo Switch กับ DJI Osmo Pocket

สรุปสิ้นปีรู้สึกมีความสุขมากกับเงินที่เหลืออยู่ และความสุขกับการใช้ชีวิตก็ไม่ลดลงไปเลยด้วย

Key Takeaway: จงรู้จักบริหารเงินรวมถึงบริหารความอยาก เพราะเงินได้ไม่สำคัญเท่าเงินเหลือ

ประกันสุขภาพสำคัญมากนะ

ค่าใช้จ่ายในเรื่องของสุขภาพอาจทำให้คนหมดตัวได้เลย เป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียนรู้ในปีนี้ว่า ประกันสุขภาพเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมาก วันนี้อาจจะไม่ได้ใช้ แต่วันที่ต้องใช้คุณจะย้อนกลับมาขอบคุณตัวเองในวันนี้ที่สมัคร

ใครอายุยังไม่เยอะก็รีบไปซื้อกันนะ =)

บอกลางานด้านมือถือ เปลี่ยนสายอย่างเป็นทางการ

เราทำงานด้านมือถือมาสิบกว่าปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่แทบไม่ได้แตะงานด้านมือถืออีกเลย สาเหตุก็เพราะเรามองอนาคตไปแล้วว่าตลาด Mobile App มันจบไป(นาน)แล้ว ก็ใช้เวลากับตัวเองสักพักในการหา Direction ว่าจะไปทางไหนต่อดี

ใจจริงอยากจะพักยาว ๆ แล้วค่อยหาอะไรทำใหม่ แต่ด้วยเงื่อนไขชีวิตที่ยังพักไม่ได้ ก็เลยต้องเลือกสายงานที่คิดว่ามีอนาคตแล้วเริ่มทันที สุดท้ายตัวที่เลือกคือ AI และ New Media Platform อย่าง XR ตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีอนาคตอย่างที่คิดไว้มั้ย แต่ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยเราก็รู้สึกคิดถูกมากที่เลือกออกจากงานด้าน Mobile แล้ว

Key Takeaway: ยังไม่รู้ว่าทางที่เลือกถูกมั้ย แต่เรารู้สึกได้เลยว่าการออกจาก Comfort Zone ที่รู้สึกว่ามันไม่มีอนาคตแล้วมันเป็นเรื่องจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายงานที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมากอย่างสายงาน Technology

ปีหน้าค่อยว่ากันว่าเป็นยังไง ^__^

ยังคงฝึกสกิลใหม่อยู่เรื่อย ๆ

เคยมีคนถามว่าเรากลัวอะไรที่สุด คำตอบที่ตอนนั้นตอบและยังคงยืนยันจนถึงตอนนี้คือ "กลัววันนี้ไม่เก่งกว่าเมื่อวาน" ปีนี้ก็เลยยังฝึกสกิลอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทั้งในแนว Technical ไปจนถึงงานด้านอื่น ๆ (เย็บปัดถักร้อย ยาแนวกระเบื้อง บริหาร อ่าน เขียน เล่นตลก ฯลฯ) ซึ่งเหนื่อยแต่ก็รู้สึกดีตอนย้อนกลับมานั่งคิดว่าปีที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง

ไม่มี Key Takeaway อะไร แค่อยากย้ำเตือนสิ่งที่ยึดถือมานานและก็ยังรู้สึกว่ายังใช้ได้อยู่ และคงใช้ได้ตลอดไป

ทำใจได้แล้ว อยากอยู่คนเดียวแล้วสิ

ปีที่แล้วถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากมาก เพราะต้องปรับตัวเปลี่ยนมาใช้ชีวิตลำพังหลังจากใช้ชีวิตคู่มา 7 ปี แต่ตอนนี้ก็ทำใจได้แล้ว มุมมองความรักเปลี่ยนไป และล่าสุดตอนนี้อยากอยู่คนเดียวแล้ว ก็เหงานะ ก็อยากนอนกอดใครนะ แต่รู้สึกพอแล้วกับความรัก ถึงในเฟสจะชอบโปรโมทโฆษณาขายไปเรื่อย ๆ แต่ชีวิตจริงคือปฏิเสธทุกคนที่เข้ามา ขออยู่คนเดียวแหละดีแล้ว

ปีที่ผ่านมาเลยหาโอกาสทำอะไรเพื่อมีความสุขกับการอยู่คนเดียวหลายอย่าง เช่น ไปนั่งฟังเพลงสดใน Pub & Restaurant คนเดียว ไปทะเลคนเดียว จนตอนนี้อยู่ตัวแล้ว สามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ^__^

Key Takeaway: เวลาไม่ได้ช่วยให้ลืม แต่จะช่วยให้เจ็บน้อยลง ทุกความทรงจำยังคงอยู่ เพียงแต่วันก่อนมันอาจจะทำให้เราร้องไห้ แต่วันนี้มันอาจทำให้คุณยิ้ม ถึงจะโหยหาบ้างแต่ก็ไม่ตีโพยตีพายอีกต่อไป และสุดท้าย ... พอถึงจุดนึงคุณก็จะรู้ว่าการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้แย่อะไรนะ =)

ขอบคุณทุกคนที่ร่วมสร้างปี 2018 ด้วยกัน

ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาในชีวิตในปี 2018 และทำให้ปีนี้เป็นปีที่ผ่านไปด้วยดี

ขอบคุณทุกคนที่พาเราก้าวผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้

ขอบคุณเวลาและโชคชะตาที่พัดพาคนที่ทำให้ชีวิตแย่ลงออกไป

ถือเป็นอีกปีที่ดี ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากครับ =)

บทความที่เกี่ยวข้อง

Nov 9, 2013, 12:51
65038 views
นกหวีดบนรถไฟฟ้า กาละเทศะอยู่หนใด
Jan 1, 2015, 14:07
143702 views
Year in Review สถิติต่างๆประจำปี 2014 ของบล็อก nuuneoi.com
0 Comment(s)
Loading