สัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีหนังเข้าหลายเรื่องมาก จัดโคนันกับ The Darkest Minds ไปเรียบร้อยเพราะรอมานาน แต่สารภาพว่าใจจริงไม่ได้ตั้งใจจะรีบดู AppWar เลย กะไว้รออีกสักสองอาทิตย์ค่อยไปดูไรงี้ แต่มีคนยุให้ไปดูเพื่อให้มารีวิวเยอะมากอย่างน่าตกใจโดยไม่รู้สาเหตุ เมื่อคืนก็เลยเอาฟระ ดูเลยก็ได้ เลยไปนั่งดูรอบดึกสี่ทุ่มสิบที่โรงข้างบ้าน
กลับกลายเป็นว่า
ในบรรดาสามเรื่องที่ดูในสามวันที่ผ่านมา AppWar กลับกลายเป็นหนังที่ดีที่สุดสำหรับเราเลยแฮะ
ดีจนต้องมาเขียนบล็อกรีวิว เพราะเขียนลงเฟสคงอ่านไม่สนุก ... อ่ะ เริ่มเลยละกัน กับบล็อกแรกในรอบสามเดือนของเรา =P
บทหนัง
เรื่องนี้ถึงจะเป็นการเอา Startup มาเป็นตัวผูกเรื่อง แต่ตัวเนื้อหนังแล้วจริง ๆ มันคือหนังรัก ที่พระนางต้องมาสู้กันด้วย App ที่แต่ละคนคิดขึ้น เพื่อขอทุนให้ไปต่อได้ ซึ่งรายละเอียดจะไม่พูดถึงมัน ไปดูในหนังกันเอาเอง เดี๋ยวสปอยล์
และเนื่องจากเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Startup โดยตรง ทำให้มีหลายส่วนที่อิงศัพท์ต่าง ๆ ในสาย Startup มา เช่น Series A แต่ไม่ต้องกลัวจะไม่เข้าใจ เพราะเอาเข้าจริงตัวบทหนังก็ไม่ได้ลงลึกเรื่อง Startup มากมายขนาดนั้น ซึ่งถือว่าคนเขียนบทหนังทำการบ้านได้ดี เพราะถ้าลงลึกเยอะไปคงไม่สามารถเข้าถึง Mass ได้ งงกันเป็นไก่ตาแตกแน่ แต่ถึงไม่ลงลึก ตัวบทก็ทำให้เห็นว่าคนเขียนบทเข้าใจเรื่อง Startup มากเลยหละ คิดว่าคงเป็นคนในวงการ หรือไม่ก็ได้ Advisor ที่ดี ถือว่าทำการบ้านมาได้ดีมากครับ
หากกังวลว่าตัวเองไม่ได้ทำ Startup กลัวจะดูไม่เข้าใจ อันนี้บอกเลยว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ดูเข้าใจได้แน่ ๆ ตั้งแต่เด็กโตยันผู้ใหญ่น่าจะเข้าถึงได้หมด
ส่วนบทหนังหลาย ๆ อย่างก็มีที่ไม่ค่อยตรงกับความจริงในโลก Startup เท่าไหร่ คนทำ Startup อาจจะมีความขัดใจบ้าง แต่เพราะว่ามันเป็นหนัง ไม่ใช่สารคดี หากทำให้มันธรรมดามันก็จะจืดชืดไปเลย ดังนั้นตรงนี้ให้อภัยได้ ดูเอาสนุกเนอะ
และที่ชอบคือบทหนังมีการผูกเรื่องได้ดี(มาก) มีการคลายปมที่ชัด เข้าถึงง่าย ดูเกิดขึ้นจริงได้ในชีวิตจริงด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีตีความอะไรให้ปวดหัว เป็นหนังรักที่จบในตัวแบบอิ่ม ๆ เดินออกมายิ้มบ้างร้องไห้บ้างแล้วแต่คน ไม่ต้องถามนะว่าเราเดินออกมาสภาพไหน ไม่บอกหรอก 555
Storytelling
การเล่าเรื่องทำมาได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ปกติตอนดูหนังเราจะโฟกัสเรื่อง Storytelling เป็นอย่างแรก ๆ เพราะหนังต่อให้ดีแค่ไหน แต่ถ้าเล่าเรื่องไม่เป็นก็พัง แม้แต่หนังหลาย ๆ เรื่องแม้แต่ของ Hollywood เองที่จะมีช่วงที่น่าเบื่อ ช่วงที่หลับ ซึ่งเป็นผลของการทำ Storytelling มาไม่ดี
แต่สำหรับเรื่องนี้กลับไม่มีโมเม้นต์แบบนั้นเลย ไม่มีช่วงง่วง ไม่มีช่วงหลับ หนังดูน่าติดตามตลอดเวลา จังหวะการเล่าเรื่องทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อเลยหละ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบทหนัง และอีกส่วนก็ใช้เทคนิคการตัดต่อเข้ามาช่วย เช่น ฉากไหนมีเหตุต้องปล่อยยาว ก็จะมีการตัดเอาตัวละครอื่นมาแว้บ ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเบื่อ และพวกนี้ก็ไม่ใช่มาทำตอน Post Edit ได้ด้วย ต้องคิดมาตั้งแต่แรก ไม่งั้นจะไม่มีฟุตมาตัด
ก็ไม่ง่ายนะที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ คนที่ทำต้องเก่งการเล่าเรื่องพอตัวเลยหละ เป็นอีกเรื่องที่ต้องขอชม
นักแสดง
สิ่งที่ต้องชมมาก ๆ คือตัวหลักทั้งหลายมีความเป็นมืออาชีพมาก ทุกคนเล่นลื่นไหลมาก ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เล่นแข็ง แม้แต่อรอุ๋งที่เพิ่งเคยเล่นหนังก็เล่นได้ดีสุด ๆ ต้องขอชมนักแสดงทุกท่าน (ส่วนตัวประกอบจริง ๆ ก็มีคนนึงที่เล่นแข็งและน่าอึดอัดคือตัวละครที่ชื่อแทนไท แต่ไม่ได้โผล่บ่อยก็เลยโอเคอยู่)
คนที่ต้องขอชมเป็นพิเศษคือพระเอก (นัท) ที่จังหวะการเล่นการพูดการเน้นเสียงแผ่วดังนี่เฉพาะตัวมาก ดูฝีมือแล้วนี่คล้าย ๆ กับเต๋อ ฉันทวิชช์ เลย ดูไปได้ไกลในฐานะนักแสดงได้แน่ ๆ
ส่วนนางเอกอย่างจิงจิงก็สวยและมีเสน่ห์มาก ถือเป็นหนึ่งในผู้หญิงเพอร์เฟคเลย ถือเป็นคู่พระนางที่เคมีเหมาะสมกัน ซึ่งส่งผลให้หนังดูสมบูรณ์แบบขึ้นด้วย
บุคลิกตัวละคร
ตัวละครในเรื่องนี้หลัก ๆ ก็เป็นคนทำงานใน Startup แหละ ก็เลยมี Programmer, Designer และ Marketing ครบถ้วน ตัวละครส่วนใหญ่ Cast มาได้ดีและมีบุคลิกนิสัยรวมถึงการแต่งตัวที่เหมาะสมกับหน้าที่การงานของตัวเอง แม้กระทั่งตัวประกอบอย่างโปรแกรมเมอร์ที่จ้างมาทำงาน ก็หน้าตาและบุคลิกเป็นโปรแกรมเมอร์มาก ๆ ถือว่าทำงานได้ละเอียด
แต่ก็มีข้อผิดพลาดในการ Casting ตัวละครอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งแย่ที่เป็นตัวหลักซะด้วย เพราะมีตัวหลักอยู่ 2 คนที่เราไม่ Convince เลยว่าเป็นโปรแกรมเมอร์ (ธิชาและเติร์ด) เพราะไม่มีอะไรใช่เลย บุคลิก การพูด การแต่งตัว ดูจนจบเรื่องก็ยังไม่สามารถมองว่าเป็นโปรแกรมเมอร์ได้อยู่ดี ทำให้การดูหนังเรื่องนี้มีขัด ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังดีที่ตัวละครสองตัวนี้ได้รับหน้าที่เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ไม่เก่ง ก็เลยทำให้ภาพพอจะเบลนด์ ๆ ไปได้
อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดอ่อนตรงนี้อยู่บ้าง แต่ถ้าให้เทียบกับแฟนเดย์ เราว่าเรื่องนี้ทำได้ดีกว่ามหาศาล สายงาน IT ในเรื่องแฟนเดย์เป็นจุดอ่อนที่เต๋อตีโจทย์ตัวละครออกมาไม่แตกจนเราดูหนังไม่สนุกไปทั้งเรื่อง แต่กับเรื่องนี้เราก็ดูจนจบอย่างมีความสุขได้
ในด้านบุคลิกตัวละครก็ต้องขอชมคนจัดการ ทำการบ้านมาดีอีกเช่นกันครับ
การเก็บรายละเอียด
เนื่องจากเนื้อหามันเกี่ยวกับ Startup และโปรแกรมเมอร์ จึงอดไม่ได้ที่จะแอบดูรายละเอียดต่าง ๆ ว่าเก็บมาได้ดีแค่ไหน ไม่ได้อะไรนะ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ 555
ปรากฎว่าน่าประทับใจมากกกกกกที่ทีมหนังเก็บรายละเอียดได้ดีเว่อร์ ๆ ตั้งแต่รายละเอียดภายนอกอย่าง เครื่องแต่งกาย วิธีการนั่งของโปรแกรมเมอร์ โต๊ะทำงานของคนอาชีพต่าง ๆ หน้าจอ External ของโปรแกรมเมอร์ที่วางเป็นแนวตั้งไว้ รวมถึงนิสัยการเล่น ROV กันในออฟฟิศ มันเป็นภาพจริงหมดเลย
หรือถ้าดูละเอียดลงไปอีก จะเห็นว่าแอป ฯ ในหนังเรื่องนี้จะเน้นไปทางแอนดรอยด์ล้วน ๆ หน้าจอโปรแกรมเมอร์ก็ไม่พลาดที่จะเปิด Android Studio เพื่อทำงานเป็นหลัก เวลาเอาขึ้น Store ก็เป็น Play Store หน้าจอตอนแอป ฯ แครชก็ทำมาอย่างถูกต้อง สรุปแล้วคือในฐานะ Geek นี่หาข้อผิดพลาดไม่ได้เลย
รายละเอียดอื่น ๆ ก็มีอีกเช่น การวิ่งขึ้นบันไดเหนื่อย ๆ ก็ทำผมให้ดูเหมือนชุ่มเหงื่อจริง ๆ หรือตอนที่มีตัวละครวิ่งหนี ตอนหยุดวิ่งสภาพผมก็กระเซอะกระเซิง ดูไม่ขัดเลย
ถือว่าเป็นงานละเอียดที่ทำได้ดีเยี่ยมมากครับ ปกติหนังหลายเรื่องจะพลาดเรื่องรายละเอียดพวกนี้ แต่เรื่องนี้ดูคนทำตั้งใจจริงและเก็บรายละเอียดครบเลยหละ
สรุป: แนะนำให้ไปดูกัน
โดยรวมเป็นหนังที่ทำออกมาได้เกินที่คาดไว้มาก ส่วนตัวถือว่าสนุกและแฮปปี้เลย ให้ 8 คะแนนเต็ม 10 แนะนำให้ไปดูกัน ดูได้หมดทุกวัย วัยรุ่นดูก็จะอินหน่อย ผู้ใหญ่ดูก็อาจจะเข้าใจคน Gen C มากขึ้น แต่โดยรวมไม่ว่าจะวัยไหน ก็น่าจะออกมาจากโรงด้วยความอิ่มและมีความสุขได้เหมือนกัน
ส่วนเรา ภาพที่ได้หลังดูจบก็อาจจะต่างกับคนอื่นทั่วไปอยู่ระดับนึงจากอะไรที่เคยผ่านมาในอดีต ดูจบแล้วก็คิดถึงวันเก่า ๆ ... แล้วก็คนเก่า ๆ อยู่เหมือนกัน
=)