ตลาด Cryptocurrency ยังคงอยู่ในช่วงบูมอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะซาลงไปบ้างจากช่วงที่ตลาดร่วงลงอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ตลาดก็เริ่มนิ่งและขยับตัวขึ้นบ้างตามเวลา
และแน่นอน ICO (Initial Coin Offering) ก็ยังคงมีเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง นอกจากจะไม่ลดความนิยมลงแล้ว จำนวน ICO ยังกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาอีกตะหาก
และทั้งหมดทั้งมวลนี่เป็นองค์ประกอบของเรื่องราวภาพรวมในตลาด Cryptocurrency ปีนี้ เยอะแยะหลายสิ่งเลยหละ และตลาดนี้ค่อนข้างมาเร็วและไปเร็ว หากพลั้งพลาดอะไรไปก็อาจเสียทรัพย์ไปจำนวนมากได้ง่าย ๆ
เราเลยขอเขียนบล็อกคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาด Cryptocurrency ในปีนี้เป็นภาพใหญ่ โดยใช้การคาดการณ์จาก Cycle ของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นตลาด Startup หรือตลาด Smart Phone ก็ตาม เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่มักจะมี Cycle การเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน
ทั้งนี้ ข้อมูลเหล่านี้เราเขียนขึ้นมาเองเป็น Original Content ไม่ได้คัดลอกมาจากไหน ดังนั้นจึงไม่มี Reference นะ และขอให้อ่านและพิจารณาร่วมกันไปด้วย อย่าเชื่อทั้งหมดครับ ไม่มีใครรู้อนาคต 100% หรอก จริงมั้ย เอาเป็นว่าอ่านสนุก ๆ ไปละกันนะ =)
เริ่มเลยละกัน
บับเบิ้ลแตก (ไปแล้ว) และมันก็ดีแล้ว
การตกของราคา Bitcoin ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นการตกภายในระยะสั้น ๆ ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปีเอามาก ๆ คือ -68% โดยใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้นเอง
ซึ่งที่ตกรุนแรงพอ ๆ กันครั้งที่แล้วก็โน่น ปี 2013-2015 จากเหตุการณ์ MtGox ซึ่งกว่าจะร่วงเยอะขนาดนี้ต้องใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าเลยทีเดียว ดังนั้นรอบนี้ถือว่าร่วงหนักจริง ๆ
และถ้าดูจากกราฟและอารมณ์คนตลาดในช่วงที่ตกดิ่งไปถึง $6,000 ก็ทำให้ได้รู้ว่าจริง ๆ "บับเบิ้ลมันแตกไปแล้ว" เพียงแต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ช่วงแตกช่วงสิ้นหวังเลยเกิดและจบเร็วมาก ใช้เวลาเพียงเดือนกว่า ๆ เท่านั้น ตอนนี้ก็ผ่านช่วงสิ้นหวังมาแล้ว ก็คงจะมีแต่คงตัวกับค่อย ๆ ขยับไปตามธรรมชาติละ
ซึ่งหลาย ๆ คนเข้าใจผิดว่าการบับเบิ้ลแตกคือการล้มหายตายจากไปเลย แต่ไม่ใช่นะ มันคือการร่วงหนักมากจนผู้คนรู้สึกสิ้นหวังและพอกันที แต่พอถึงจุดที่เป็น Fair Value ก็จะกลับขึ้นไปใหม่ได้ และตอนนี้ก็คิดว่น่าจะอยู่ช่วงนั้นแล้ว ก็แฟร์ ๆ แหละ เพราะช่วงธันวาจนถึงปีใหม่มันขึ้นเยอะเกินไปจริง ๆ
แต่ถามว่ามันเป็นเรื่องดีมั้ยที่บับเบิ้ลแตก ? ส่วนตัวว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดเลยหละ รอเวลานี้มานานพอควร เพราะการบับเบิ้ลแตกทุกครั้งมันช่วยลดกระแสทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผลได้ดีมาก ๆ อย่างเช่นในกรณีนี้ ราคาบิตคอยน์ที่ขึ้นแบบพุ่งเร็วเกินไปเพียงเพราะคนเห่อกันมาซื้อก็เป็นอันต้องซาไป รวมถึงพวกเหรียญที่สร้างขึ้นมาเพื่อ Scam ก็ถูกกวาดทิ้งไปจำนวนหนึ่ง และตลาดก็กลับไปสู่สถานการณ์ที่เติบโตเรื่อย ๆ แบบ Healthy เรียบร้อย
และการที่รอบนี้มีคนโดนเยอะกว่ารอบที่ผ่าน ๆ มามาก ก็ทำให้คนเรียนรู้อะไรมากขึ้นและส่งผลดีต่อตลาดโดยรวมมากพอควร
แต่มันไม่ใช่การแตกครั้งสุดท้าย
การแตกครั้งที่ผ่านมาส่วนใหญ่เกิดจากข่าวร้ายของทางประเทศหลักในตลาดคริปโตอย่างจีนและเกาหลีใต้ แต่การแตกครั้งอื่น ๆ จะยังมีอีก อีกหลายรอบด้วยและด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป และรอบที่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะรุนแรงมากคงจะเป็นช่วงต้นปี 2020 เพราะโปรดักส์ในตลาดจะเริ่มสามารถถูกตีมูลค่าได้แล้ว ตอนนี้ที่ราคาสูงเว่อร์ ๆ กันก็เพราะว่ามันไม่สามารถตีมูลค่าที่แท้จริงได้ เนื่องจากมันยังทำไม่เสร็จและมีน้อยมากที่ใช้จริงได้แล้ว ที่ซื้อกันตอนนี้เป็นการเก็งกำไร (Speculatation) ล้วน ๆ
แต่ถ้าถึงวันที่ผลงานต่าง ๆ เริ่มถูกใช้งานจริงในระดับ Mass Adoption ก็จะเห็นแล้วหละว่าโปรดักส์แต่ละตัวในตลาดตอนนี้ล้วนมีมูลค่าเกินจริงไปอย่างต่ำ 10 เท่ากันทั้งนั้น และวันนั้นเองที่จะได้เห็นบับเบิ้ลแตกครั้งใหญ่ แต่ก็เช่นกัน การแตกครั้งนั้นจะเป็นการรีเซตตลาดและหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ตลาดก็จะเข้าสู่สภาวะ Mature พร้อมใช้งานจริงและเติบโตระยะยาวครับ
และนี่แหละ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องทำการศึกษาตลาดนี้และทำความเข้าใจให้เรียบร้อย เพราะวันหนึ่งกำไรที่หามาได้อาจจะหายวับไปหมดในเวลาไม่ถึงเดือนแถมอาจจะยังขาดทุนอีกต่างหากถ้าคาดเดาสถานการณ์ไม่ถูกครับ
อ่ะ ปี 2018 นี้ก็คว้าโอกาสกันให้ดี ๆ ครับ เอ๊ะ แล้วปีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดบ้างเพื่อที่จะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ของตลาดได้ ? ขอพูดถึงสิ่งนี้ก่อนเลยละกัน
มีโปรเจคน้อยกว่า 20% ที่ Deliver ผลงานได้
รู้หรือไม่ว่า ICO ที่บูม ๆ อยู่ตอนนี้ จริง ๆ แล้วมันเพิ่งเริ่มมาฮอตก็ปี 2017 นี้เอง
โดยแค่ปี 2017 ปีเดียวก็มีโปรเจคที่เปิดระดมทุนผ่าน ICO มากถึง 902 โปรเจค !! อ้างอิงข้อมูลจาก TokenData
และโปรเจคส่วนใหญ่กำหนดเสร็จใน ... ปี 2018 นี้
ความสนุกสนานจึงบังเกิด เพราะ ICO เป็นการระดมทุนที่เลื่อนลอยที่สุดในประวัติศาสตร์โลกแล้วหละมั้ง ใช้กระดาษไม่กี่แผ่นก็สามารถระดมทุนได้เป็นสิบล้านเหรียญแล้ว และการที่เม็ดเงินเยอะขนาดนั้นก็ไม่ได้แปลว่าคนที่มาทำโปรเจคต่าง ๆ จะเก่งขึ้นหรือผลงานดีขึ้นแต่อย่างใด คือยุค Startup โปรแกรมเมอร์กากอยู่ดี ๆ พอยุค ICO ปุ๊บเทพเลยงี้ ... เป็นไปไม่ได้เฟร้ยยย ตอนนั้นปัญหาเป็นยังไง ตอนนี้ก็ปัญหาเดิมนั่นแหละ
และถึงจะมีโปรแกรมเมอร์ที่ทำผลงานนั้น ๆ ได้ แต่ยังไงโปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ ก็ไม่ได้มีเยอะแยะเหลือเฟือจะทำให้สำเร็จทุกโครงการได้หรอกนะ เอาจริง ๆ ยิ่งพวกคนมีไอเดียแต่ทำไม่เป็นนี่ได้เปรียบมาก กวาดเงินมาเบิร์นสนุกเลย แต่ทำได้มั้ยไม่รู้ แต่เงินอ่ะได้แล้วไง แฮปปี้แล้วไง Equity ก็ไม่เสีย สบายที่สุดแล้ว จะปิดบริษัทก็ไม่ต้อง Dilute ทรัพย์สินอะไร หอบเงินไปได้เลย
และนี่เองจึงทำให้ฟันธงได้เลยว่า
ICO ที่ระดมทุนเมื่อปี 2017 จะทำผลงานที่ทำเสร็จน้อยกว่า 20% ของทั้งหมด
พูดง่าย ๆ คาดหวังว่าจะได้เห็นผลงานที่ออกมาให้จิ้มเล่นแค่ไม่ถึง 200 ตัว นี่แค่มีผลงานให้เห็นนะ ยังไม่พูดถึงตัวที่มีคุณภาพ ซึ่งก็จะน้อยลงไปอีก
ซึ่งถามว่าตอนนี้มีโปรเจคที่ตายไปแล้วกี่ตัว ได้ยินคำตอบอาจจะตกใจ ...
418 ตัว หรือคิดเป็น 46% ครับ
โดยนี่เป็นข้อมูลที่ทางเว็บ Bitcoin.com รวบรวมเอามา ซึ่ง 418 ตัวนี้ประกอบไปด้วย 142 ตัวที่ Raise Fund ไม่สำเร็จและอีก 276 ตัวเป็นตัวที่ค่อย ๆ หายไปหลังจาก Raise Fund สำเร็จแล้ว รวมถึงพวก Scam ด้วย
ยังไม่หมด อีก 113 ตัว อยู่ในสถานะ "ล้มเหลวแล้วแค่รอเวลา" ซึ่งพวกนี้โอกาสที่จะหายไปสูงมาก ถ้าเอามารวมอีกก็จะเป็น 531 ตัวหรือคิดเป็น 59% เรียบร้อยที่หายไป เหลือเพียง 371 ผลงานเท่านั้นที่ยัง Active อยู่ (แต่ไม่ได้แปลว่า Launch แล้วนะ แค่ยังอัปเดตสถานะอยู่เรื่อย ๆ) และนี่เป็นตัวเลขที่บันทึกไว้ตอนกุมภาพันธ์นะ คิดดูว่าจนถึงปลายปีจะมีผลงานเหลือรอดจากปีที่แล้วอยู่กี่ตัว ?
ดังนั้นใครถืออะไรไว้ ขอให้พึงระลึกเสมอว่าเหรียญที่ถืออยู่อาจจะไร้ค่าได้ทุกเมื่อ อย่าลืมติดตามความคืบหน้าของโปรเจคเรื่อย ๆ ด้วยครับ ด้วยความหวังดี
โปรเจคที่ Raise ICO ปีที่แล้วเกินครึ่งมูลค่า Token เหลือ 0
ผลต่อเนื่องจากด้านบน เหรียญจำนวนหนึ่ง Liquidity จะต่ำลงเรื่อย ๆ และคนจะเทขายจนมูลค่าใกล้เคียง 0 ครับ ถืออะไรไว้ก็ให้ระวังไว้ตลอดเวลานะ ตลาดนี้น่ากลัวครับ
ICO ตัวใหม่ ๆ ยังคงมีมาเพิ่มรัว ๆ Scam ไม่ได้ลดลง
ถึงแม้ผลงานกว่าครึ่งของปีที่แล้วจะล้มหายตายจากไปแล้ว แต่ปีนี้ก็ไม่วายจะมี ICO ตัวใหม่เพิ่มมาขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน และ ICO ที่เกิดมาเพื่อหลอกลวงจะเยอะขึ้นไปจากเดิมอีก ใครจะลงอะไรโปรดดูให้ดีครับ
บริษัทใหญ่เริ่มทำ ICO (Reverse ICO)
ICO ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นของบริษัทเกิดใหม่ที่ตั้งมาเพื่อทำผลงานชิ้นใหม่ ๆ แต่ด้วยรูปแบบการระดมทุนแบบใหม่ที่น่าจะเปลี่ยนแปลงกลวิธีของการลงทุนในอนาคต บริษัทใหญ่ ๆ ก็จะเริ่มให้ความสนใจและมาทำ ICO ของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ และศัพท์เทคนิคของการที่บริษัทที่มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้วอยากเปิด ICO เราจะเรียกว่า Reverse ICO กันครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าบริษัทที่ทำธุรกิจเหล่านี้จะทำ ICO แล้วแปลว่าไปรอดนะ ส่วนใหญ่เราว่าไปไม่รอดด้วยซ้ำ อย่าลืมรีวิว Whitepaper ทีมและผลงานกันด้วยครับ
Layer 2 คือสิ่งใหม่ที่จะเติบโตสูงในปีนี้
ถามว่าปีนี้อะไรจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมของ Blockchain / Cryptocurrency ? ... หนึ่งใน Bet ของเราคือสิ่งที่เรียกว่า "Layer 2"
โดย Blockchain แต่ละตัวที่มี Coin ของตัวเองและถูกสร้างมาใช้เพื่องานภายในระบบของตัวเอง เช่น Bitcoin, Ethereum อันนี้เราจะเรียกมันว่า Layer 1
แต่ปัญหาของ Blockchain ในยุคที่ผ่านมาคือส่วนใหญ่จะช้าและมีปัญหาด้าน Scalability คือรับการโอนปริมาณมาก ๆ ไม่ได้ ลองคิดถึงตอน Cryptokitties ก็จะมองออกว่าแค่เกมเพียงเกมเดียวกลับทำให้ Ethereum ทั้งระบบช้าและทำงานแทบไม่ได้ แบบนี้ไม่ต้องคาดหวังว่าจะใช้งานจริงในการโอนเงินกันได้อ่ะ
แต่ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin หรือ Ethereum ก็ต่างโตเกินไปที่จะล้มเหลวแล้ว และมันก็เติบโตไปไกลจนการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ใน Core นั้นทำได้ยากยิ่ง แล้วจะแก้ปัญหาเรื่อง Scalability ได้อย่างไร ?
ที่ผ่านมามีคนยื่นเสนออยู่หลายวิธี เริ่มต้นจากการไปเปลี่ยนแปลง Core ของ Layer 1 เลย แต่ปัญหาคือพอมันเป็น Decentralized การจะบังคับให้เปลี่ยนนั้นก็ยากเอามาก ๆ ดังนั้นก็เลยเริ่มมีคนเสนอแนวทางที่สองที่เรียกว่า Layer 2 มา
โดย Layer 2 คือการสร้างระบบขึ้นมาอีกชั้นนึง เป็นระบบที่เร็วกว่า รับการส่งได้เป็นล้าน ๆ ต่อวินาที ค่าส่งถูกกว่าหรืออาจไม่เสียเลย แล้วเราก็จะให้งานส่วนใหญ่ไปทำงานอยู่บนชั้น Layer 2 แทน ส่วนงานไหนที่จำเป็นค่อยไปทำงานร่วมกับ Layer 1
ยกตัวอย่างเช่นระบบ Payment ทุกวันนี้โอนเงินกันด้วย Layer 1 มันช้าและแพงเหลือเกิน งั้นเอางี้ โอนเงินไปเก็บไว้ใน Layer 2 แทน (ซึ่งมันจะทำในรูปแบบไหนก็ได้ ถ้าให้เข้าใจง่ายสุดคือทำ Blockchain ขึ้นมาอีกตัวนึง) เสร็จแล้วเวลาจะโอนให้เพื่อนหรือโอนให้ร้านค้า ก็โอนไปโอนมากันใน Layer 2 แทน (ซึ่งแน่นอน เราต้องสร้างมาตรฐานให้ทุกคนไปใช้ Layer 2 กันให้หมดระบบถึงจะสำเร็จได้) ผลคืองานบน Layer 1 จะเบาลงมาก คาดว่าน่าจะเบาลงไปกว่า 99% เลยหละ ก็จะเห็นว่ามันไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขอะไร Layer 1 เลย แต่ระบบก็สามารถสเกลได้แล้ว และระบบหลักที่ใช้งานก็จะกลายเป็น Layer 2 แทน
ถึงจะเป็น Concept ที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม Layer 2 ก็ยังเป็นผลงานที่ยังไม่สมบูรณ์ ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาอยู่ เช่น Bitcoin มี Lightning Network ส่วน Ethereum ก็กำลังพัฒนา Plasma อยู่
นอกจากนั้นก็ยังมี Layer 2 Project โผล่ขึ้นมาอีกมากมายมหาศาล เช่น Tomochain, TON ฯลฯ และนี่คือสิ่งที่เราเชื่อว่ามันจะเติบโตเป็นอย่างสูงในปีนี้ครับ เพราะเทรนด์มันมาทางนี้อย่างชัดเจน ไม่ต้องไปยุ่งมันละ Layer 1 แต่สร้าง Layer 2 ที่มีประสิทธิภาพสูงมาครอบแทน
ตลาดไม่ต้องการ Layer 1 ตัวใหม่แล้ว
ถึงตลาดจะเกิดมาไม่นาน แต่ตลาดก็เริ่มไม่ต้องการ Layer 1 ที่ทำตัวเป็นสกุลเงินหลักตัวใหม่แล้ว จากนี้ก็จะเป็น Bitcoin, Ethereum และตัวท็อปทั้งหลายที่จะถูกใช้งานในระยะยาว ส่วนโปรเจค Layer 1 ตัวใหม่หรือ Masternode ที่ไม่ได้โฟกัสเรื่องการสเกล พวกนั้นเตรียมตัวตายทั้งหมดครับ
Cross-Chain กลายเป็นสิ่งสำคัญ
จากที่เห็นว่า Layer 2 จะทำงานได้ด้วยตัวมันเองโดยไม่ได้ผูกกับ Layer 1 แต่ก็สามารถติดต่อกันได้ เช่น ตอนจะโอนเงินไปมาระหว่าง Layer 1 และ Layer 2 (ซึ่งตรงนี้เราเรียก Layer 2 ว่า Off-chain หรือเป็น Blockchain ที่แยกออกมา)
และแน่นอน Layer 2 เลยสามารถติดต่อกับ Layer 1 หลายตัวได้พร้อมกัน และนี่เองที่เรียกว่า Cross-Chain คือการติดต่อข้ามกันระหว่าง Blockchain หลาย ๆ ตัว
และ Cross-Chain จะกลายเป็น Infrastructure สำคัญต่อ Blockchain ในยุค Mass Adoption ครับ
ถามว่าทำไมถึงสำคัญ ?
นี่ Cryptocurrency สู้กันแทบตายเพื่อจะชนะสกุลเงินประเทศต่าง ๆ ให้มาใช้เป็นสกุลเดียวร่วมกันได้ทั่วโลก แต่สุดท้ายดันแตกเป็นพันสกุลเงินใน Digital เนี่ยนะ ? อันนี้ไม่ดีต่อระยะยาวแน่นอนถ้ามันกระจัดกระจายเละเทะแบบนี้ แต่ด้วย Cross-Chain มันจะรวมทุกเหรียญให้ทำงานด้วยกันได้ง่ายขึ้นมาก แก้ปัญหาการมีสกุลเยอะเกินไปได้เป็นอย่างดีครับ
แต่แน่นอน ก็จะมีเหรียญจำนวนมากตายไป เหลือให้ Cross อยู่ไม่กี่ตัวหรอก
Bitcoin เตรียมตัวเข้าสู่ Mass Adoption ด้วย Layer 2 ที่ชื่อ Lightning Network
และเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอันดันต้น ๆ ของปีนี้แล้ว เพราะเราคาดว่า Bitcoin จะเป็น Winner ผู้ Take All ในตลาดสกุลเงินโลก
โดยก่อนหน้านี้ Bitcoin นี้สิ้นหวังมาก ๆ ค่าส่งแพงเว่อร์ ช้าเว่อร์ ทุกอย่างแย่มาก จนทำให้มี ICO จำนวนมากสร้างมาโดยอาศัยข่าวร้ายและจุดอ่อนนี้ของ Bitcoin โกยเงินกันไป แต่โปรดักส์พวกนั้นยังไม่ทันออกมา สถานการณ์ก็เริ่มตีกลับแล้วเพราะ Bitcoin มีแนวโน้มสูงมากที่จะถูกใช้งานจริงได้หลังจากนี้ โดยพระเอกขี่ม้าขาวที่จะมากอบกู้สถานการณ์ให้ Bitcoin ก็คือ Layer 2 ที่ได้อธิบายด้านบนนี่แหละ ซึ่งมันมีชื่อว่า Lightning Network (LN)
LN นี้ทำงานเร็วมาก แทบจะพริบตาเดียว ค่าส่งแทบไม่เสีย และรับจำนวนการส่ง Transaction ได้เยอะมาก เป้าหมายของเค้าคือหลักล้าน tx/s แต่ตอนนี้ยังทำได้ไม่ถึง
ใครสนใจเรื่อง Lightning Network และอยากเข้าใจมากขึ้น ลองดูวีดีโอตัวนี้เพิ่มเติมได้ครับ
เราค่อนข้าง Bet กับ Lightning Network มาก พอถึงจุดที่ LN ใช้งานจริงได้ (ซึ่งคาดว่าจะเป็นปลายปี) วิธีคิดของอุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนไปเลย ผลงานต่าง ๆ จะถูกพัฒนาต่อยอดจาก LN อีกที กลายเป็นบริการมากมายที่ใช้งานง่ายและสะดวก
ร้านค้าต่าง ๆ จะเริ่มรับ Bitcoin
มีเหตุผลหลายอย่างที่คนไม่รับชำระเงินเป็น Bitcoin เวลาขายของ หลัก ๆ ก็เรื่องของค่าส่งที่แพง (ซึ่งปัญหากำลังจะหมดไป) และเรื่องความผันผวนของราคา (Volatility) แต่ปัญหาเหล่านี้จะค่อย ๆ จางไปตามเวลาและสุดท้ายเชื่อว่าปลายปีจะมีร้านค้ารับชำระเงินเป็น Bitcoin บ้าง โดยเชื่อว่าทุกเจ้าจะรับผ่าน Lightning Network ครับ และจะเริ่มเห็นได้ชัดคือปีหน้า ลุงป้าน้าอาจะเริ่มใช้ Bitcoin กันได้แล้ว เข้าถึงกันได้ทุกคน
คนที่ทำผลงานมาเพื่อสู้ Bitcoin เตรียมตายหมด
มีผลงานมากมายที่ยกเรื่องที่ว่า Bitcoin ช้าเอย ค่าส่งแพงเอย และสร้างเหรียญมาใหม่เพื่อให้มันทำงานได้เร็วขึ้น
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เป็นจริงเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ตอนนี้และในอนาคตมันจะไม่จริงแล้วด้วย LN นั่นเอง อุตสาหกรรมนี้มันหมุนไวมาก ๆ ในระดับเดือน เร็วกว่า Startup และมือถือหลายเท่าตัว ไม่ต้องแปลกใจที่เหรียญพวกนี้จะถึงคราวมอดดับในปีนี้เมื่อ Lightning Network เปิดให้ใช้งานจริง โดยเหรียญนั้น ๆ จะมีอายุขัยไม่ถึงปีเท่านั้นเอง
ใครถืออะไรไว้แล้วเจอ Argument เรื่องว่าจะมาแทน Bitcoin ขอให้ไปเทียบกับ Lightning Network ให้ดี ๆ ครับว่ามันจะสู้ LN ได้มั้ย ถ้าดูแล้วไม่น่าสู้ได้ก็ล่าถอยออกมาให้ทันจะดีกว่า
เหรียญใหญ่ ๆ จะเริ่มควบรวมเหรียญ (M&A)
และเมื่อ Bitcoin กำลังจะครองตลาดในอนาคต เหรียญหลาย ๆ ตัวก็จะเริ่มรู้ตัวละว่าสู้ชาวบ้านไม่ได้ และปีนี้จะเกิด การควบรวมเหรียญ Merge & Acquisition (M&A) ขึ้นหลายเจ้า เพื่อรวมทีมและรวมความแข็งแกร่งของฟีเจอร์ก่อนจะไม่ทันกาล ตอนนี้ก็เริ่มมีให้เห็นบ้างแล้วถ้าลองติดตามข่าวกันดู
จริง ๆ การ M&A เป็นหนึ่งใน Cycle ของทุกอุตสาหกรรมมาใหม่ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดตอนที่รู้แล้วว่าใครเป็นยักษ์ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ตอนนี้หลายคนในวงการก็เริ่มมองออกแล้วว่าไพ่จะออกมายังไงในตอนจบ ก็เลยเริ่มเห็น Movement กันบ้างครับ อันนี้ก็เป็นอีกข้อพิสูจน์ว่าโลกของ Cryptocurrency มันหมุนไปไวมาก ๆ ยังไม่ทันไรเริ่มเข้าสู่เฟส M&A แล้ว
ส่วนวิธีการควบรวมเหรียญก็มีอยู่หลายวิธีครับ เช่นสร้าง Layer 2 ขึ้นมาแล้วทำ Cross Chain และ Atomic Swap อะไรก็ว่าไป แต่ก็ไม่ใช่ทุกเหรียญที่จะมีทีมทำได้ เหรียญไหนเสียเปรียบก็อาจจะต้องรอความตายกันไปอย่างเดียว
สถาบันทางการเงินจะอัดฉีดเงินเข้าตลาดคริปโตเรื่อย ๆ
ตลาดคริปโตจะเริ่มหอมหวานขึ้นเรื่อย ๆ และปัญหาเรื่อง Regulation จะค่อย ๆ เบาบางลงไปตามเวลา และด้วยเหตุนี้ พวก Institute ทั้งหลายก็จะเริ่มอัดฉีดเงินเข้าไประบบเรื่อย ๆ คาดว่ารวมแล้วน่าจะหลักหลายร้อย Billion USD ครับ
คาดว่าตลาดจะเริ่มมี Movement อย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไปครับ
สรุป
ปี 2017 ถือเป็นปีที่สร้าง Hype ให้คนรู้จัก Cryptocurrency มากขึ้น แต่ปี 2018 นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ Mass Adoption ละ ซึ่งคงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายปีครับ ซึ่งจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีคือตลาดจะไปในระยะยาวได้ ข่าวร้ายคือเหรียญเกินครึ่งจะสูญสลายไปเพราะสู้ตัวใหญ่ไม่ได้
ย้ำอีกทีว่าถ้าจะเล่นตลาดนี้ให้ศึกษาทุกอย่างให้ดีครับ ความเสี่ยงสูงมากกกกก มากจริง ๆ ด้วยความปรารถนาดีครับ
รัก