"ไม่ต้องมีเวทมนตร์ ไม่ต้องไปหาแม่มด แค่คุณทำสิ่งที่โลกระลึกถึงตลอดกาล แค่นั้นคุณก็เป็นอมตะแล้ว"
8 เดือนที่หายไป กับหนังสือบทใหม่ของชีวิต
30 Oct 2017 14:13   [227021 views]

ก็น่าจะเห็นโดยถ้วนกันว่าปีนี้ไม่ค่อยได้อัปบล็อกเท่าไหร่ ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาก็อัปไปแค่ 17 บล็อกเท่านั้นเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องงานด้วย ไม่ค่อยมี Lifestyle เท่าไหร่

สาเหตุเพราะตอนปลายเดือนกุมภา ฯ มีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่มากเกิดขึ้น น่าจะใหญ่อันดับต้น ๆ ในชีวิตเลยหละ ก็เลยต้องถอยกลับไปตั้งหลักหน่อย

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ตามมาด้วยเรื่องราวมากมาย ดีบ้าง ร้ายบ้าง จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมา 8 เดือนเต็มแล้ว  ชีวิตเริ่มตั้งหลักได้แล้ว ก็เลยมาอัปบล็อกหน่อย

บล็อกนี้ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมาก เป็นไดอารี่ที่อยากจดบันทึกไว้ว่าในช่วง 8 เดือนที่หายไป เป็นยังไงบ้าง

8 เดือนที่ยาวนาน การเปลี่ยนแปลงมากมาย

เคยได้ยินมั้ยว่าแต่ละคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ว่าแต่ละคนใช้เวลานั้นมีค่าได้ต่างกัน

8 เดือนที่ผ่านมาสำหรับเราก็เช่นกัน

ถึงแม้ส่วนตัวจะใช้เวลาชีวิตได้เข้มข้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่สำหรับ 8 เดือนที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับเลยว่ามันเข้มข้นกว่าเดิมอีก มานั่ง ๆ คิดดูว่านี่มันเพิ่งผ่านไป 8 เดือนเองหรอก็ตกใจอยู่เหมือนกันนะ เพราะเรารู้สึกยาวนานราวกับหลายปีเลยหละ

ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก มากแบบมากจริง ๆ แล้วก็ได้ทำอะไรใหม่ ๆ แปลก ๆ มากมายจริง ๆ

ปรับตัวสู่ชีวิตตัวคนเดียวเต็มตัว

ถึงตัวเองจะเป็น Introvert (คนที่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม) อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาก็มีคนให้ไปไหนมาไหน กินข้าว ทำโน่นทำนี่ด้วยกันมาตลอด แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ก็เลยปรับชีวิตเข้าสู่ภาวะตัวคนเดียวเต็มตัว

กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ยาวไปจนถึงเที่ยวต่างประเทศคนเดียว เอาเป็นว่าถีบเรือเป็ดคนเดียวก็ทำได้ เพียงแค่ไม่ได้พิสมัยการถีบเรือก็เลยไม่ถีบแค่นั้น

ก็พบความจริงที่ว่า ... ใช้ชีวิตคนเดียวมันก็สบายดีนะ =) ไม่ต้องรอใคร อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว หลาย ๆ คนบอกว่าต้องสตรองมากถึงจะทำได้ แต่นี่ไปมาหลายประเทศแล้ว พูดเลยว่า มันมีความสุขมากนะ ไม่ต้องสตรองขนาดนั้นหรอก ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ลอง ;)

แต่ข้อเสียก็มี ... อิสรภาพมันก็แลกมาด้วยความเหงาแหละ เหงาแบบเหงามาก

แต่วันนึงก็จะชินไปเองนั่นแล นี่ก็เริ่มชินละ ^__^

เขียนบล็อกไม่ออก

ตัวเนยเป็นบล็อกเกอร์ที่ไม่ได้ทำเป็นอาชีพ แต่เขียนเพราะมีอารมณ์อยากเขียน

คือถ้าให้รับงานเขียนที่มีรีเควสท์เข้ามาก็อาจจะทำเป็นอาชีพได้สบาย ๆ เลยหละ (เอาจริง ๆ รายได้น่าจะเยอะกว่าเขียนโปรแกรม) แต่พอมานั่งทบทวนตัวเองแล้ว มันไม่ใช่ตัวเรา และเนื้อหาบทความที่เขียนก็คงจะไม่สนุกน่าอ่านเหมือนบล็อกที่เขียนด้วยความชอบส่วนตัว ก็เลยไม่รับงานเท่าไหร่ด้วยเหตุฉะนี้ เขียนตามอารมณ์ล้วน ๆ

ติสท์ว่างั้น

และช่วงที่ผ่านมาจิตใจดิ่งเหว ก็เลยไม่สามารถเขียนอะไรได้เลย ส่วนใหญ่ก็จะเขียนเป็นบันทึกส่วนตัวว่าจิตใจตัวเองมีความก้าวหน้ายังไงบ้าง ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้อย่างไร

ซึ่งถึงงานเขียนจะหายไป แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มอิ่มเลย

มีอะไรอยากเล่าให้ฟังเยอะเลยหละ แต่ไว้รอจิตใจพร้อมก่อนนะ ซึ่งยังไม่ใช่ตอนนี้ ... น่าจะสักต้นปีหน้า คงจะมีงานเขียนออกมาให้อ่านเรื่อย ๆ เหมือนเช่นเคยละ ^__^

พ็อกเก็ตบุ๊คเป็นอันต้องพับไว้

ก่อนหน้านี้มีเขียนพ็อกเก็ตบุ๊คทิ้งไว้อยู่เล่มนึง ก็เป็นเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตที่อยากจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปนั่นแหละ (ฟังดูแก่จัง)

แต่ช่วงที่ผ่านมาสภาพจิตใจไม่สามารถเขียนอะไรดี ๆ ออกมาได้เลย คือเขียนได้นะ แต่พอกลับมาอ่านแล้ว ไม่ว่าเรื่องจะสนุกสนานแค่ไหน อ่านแล้วก็ยังเศร้า

โครงการพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกก็เลยเป็นอันต้องพับไว้ก่อน รอให้จิตใจพร้อมจะเขียนอะไรสนุก ๆ อีกครั้งได้ แล้วค่อยเริ่มเขียนใหม่อีกที

และแน่นอน ... สิ่งที่เจอในปีนี้จะอยู่ในหนังสือด้วย เราว่าเราเรียนรู้อะไรขึ้นมาเยอะเลยหละ หนังสือเล่มนี้คงจะมีบทใหม่เพิ่มมาอีกหลายบทให้อ่านกัน

นี่แหละ ชีวิตก็เหมือนหนังสือบันทึกการเดินทาง และทุกวันคือการเขียนมันเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ =)

ย้ายไปอยู่ Bay Area

เรื่องราวที่เจอค่อนข้างหนักหนา การอยู่ในไทยนั้นทำให้จิตใจแย่ลงไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจบินไปอยู่ที่ Bay Area หรือบริเวณที่คนเรียกกันว่า Silicon Valley นั่นเอง (แค่คนที่นั่นเค้าไม่เรียกกัน)

และนี่แหละคือความเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในปีนี้ กับการได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้มานานแล้ว ... ย้ายไปอยู่เมกา

โดยการบินไปในปีนี้ถือเป็นการดูลาดเลาก่อนว่าเราอยากจะย้ายไปอยู่ที่นั่นจริง ๆ มั้ย เพราะอะไรมันก็เปลี่ยนไปหลายอย่างอ่ะเนอะ

ซึ่งหลังจากไปอยู่มา 5 เดือน ... พูดเลยว่ามันเป็นชีวิตที่มีความสุขมากกกก คือไม่ได้มากแบบสวรรค์หลั่นล้าพาราไดซ์ขนาดนั้น แต่เทียบกับการอยู่ไทยที่ผ่านมา ก็ถือว่าสุขกว่ามาก ๆ หลายระดับขั้นเลยหละ

อย่างเดียวที่เป็นข้อเสียคือ ... ความเหงาอีกนั่นแหละ เพราะที่โน่นถึงจะมีคนไทยอยู่จำนวนนึง แต่ก็ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ จะนัดกินข้าวกลางวันกันเหมือนตอนอยู่กรุงเทพ ฯ อะไรงี้ยากมาก ๆ สุดท้ายกว่าจะเจอกันได้ก็ต้องนัดจริงจังเป็นอาทิตย์เลย

แต่นี่กลับมาไทยได้สองสัปดาห์ เอาจริง ๆ ... ก็รู้สึกเหงาไม่ต่างจากตอนอยู่นั่นเท่าไหร่นะ =)

ละทิ้งทุกสิ่ง ชีวิตนิ่งสงบ

ชีวิตตอนอยู่ไทยค่อนข้างหวือหวาเพราะมีสังคมค่อนข้างใหญ่อยู่ที่นี่ แต่พอไปอยู่โน่น เราก็กลับกลายเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีคนรู้จักไป

โอกาสต่าง ๆ ที่เข้ามาไม่หยุดตอนอยู่ไทย พอย้ายไปอยู่เมกามันก็ค่อย ๆ หายไปทีละอย่าง (แต่ถ้าให้พูดถึงจำนวนหมายเชิญที่ส่งเข้ามาให้ไปอีเว้นต์หรือเขียนบล็อกรีวิว จะบอกว่าเยอะขึ้นกว่าตอนอยู่ไทยประมาณ 3 เท่าเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ก็ปฏิเสธไปหมด)

สิ่งที่ละทิ้งไปถือว่าใหญ่มาก แต่นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ =)

ชีวิตตอนอยู่ที่นั่นเลยกลายเป็นชีวิตที่สงบที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่าน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้โฟกัสงานตามที่ตัวเองถนัดและชอบ ได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานเปล่าประโยชน์ใด ๆ เหมือนตอนอยู่เมืองไทย

ถามว่าเป็นการแลกที่คุ้มมั้ย การเป็นที่รู้จักตอนอยู่ในไทย กับชีวิตใหม่ที่เงียบสงบ ไม่มีใครรู้จัก แค่ทำสิ่งที่รักไปทุกวัน ...

คุ้มมาก

หลาย ๆ คนอาจจะใช้คำว่าการก้าวออกจาก Comfort Zone แต่ถ้าศึกษาชีวิตที่ผ่านมาของเรา จะรู้ว่าเราไม่เคยมี Comfort Zone อยู่แล้ว ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งขึ้นแล้ว ไม่มีอะไรท้าทายแล้ว ก็จะก้าวสู่สิ่งใหม่ทันทีเสมอ เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว

เพียงแต่ก้าวนี้ถือเป็นก้าวที่ใหญ่และสำคัญมากเท่านั้นเอง

น้ำหนักเพิ่มขึ้น (สักที)

อีกหนึ่ง Progress สำคัญของชีวิตที่เกิดขึ้นในปี 2017 นี้คือการ ... "น้ำหนักขึ้น"

มีคนบอกอยู่ว่าการไปอยู่เมกาจะทำให้นำ้หนักขึ้นได้แน่นอน แต่เอาจริง ๆ น้ำหนักเราเพิ่งมาขึ้น 1 เดือนให้หลังก่อนกลับมานี้เอง โดยขึ้นพุ่งจาก 52 ไปเป็น 56 เลยในเดือนเดียว ส่วนสี่เดือนแรกน้ำหนักไม่ได้ขยับเลย

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีใจมากกกกก ที่ผ่านมามีปัญหากับการผอมเกินไปและทำยังไงน้ำหนักก็ไม่ขึ้น กินเยอะเท่าไหร่น้ำหนักก็ลงไปเท่าเดิม

แต่เดือนที่ผ่านมา อยู่ดี ๆ ก็กินไม่หยุด ขึ้นไม่หยุด และนี่ก็เป็นการขึ้นแบบก้าวกระโดดครั้งแรก เดือนเดียว 4 โล แถมยังหิวตลอดเวลา กินไม่หยุด กลับไทยมาก็ยังกินแหลก น้ำหนักยังขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนจุดตัดชีวิตที่เกิดขึ้นที่ทำให้อยู่ดี ๆ ก็น้ำหนักขึ้นคือ "ได้พบเจอความสุขมากอันดับต้น ๆ ของชีวิต" ตอนที่อยู่ที่ Bay Area หลังจากวันนั้นชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะเลยทั้งร่างกายและจิตใจ

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว จริง ๆ นะ

ความบังเอิญ ณ Bay Area

ถึงแม้จะบินไปไกล ถึงแม้จะไม่ได้เจอใครบ่อยนัก แต่สุดท้ายความบังเอิญก็บินตามไปเจอที่นั่นอยู่ดี

หนึ่งเรื่องตลกของชีวิตและโชคชะตาที่เรียนรู้มาจากชีวิตจริง =)

หนังสือบทใหม่

และชีวิตก็เข้าสู่หนังสือบทใหม่อย่างเป็นทางการ หลังจากบทเก่าจบลงไปแล้วอย่างบริบูรณ์

ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปถึงตรงไหน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เราจะเขียนมันเพิ่มขึ้นใหม่ในทุกวันตามหนทางที่ต้องการของตัวเอง ชีวิตต้องก้าวต่อไปเนอะ =)

แค่นี้แล จริง ๆ มีอะไรอีกเยอะที่จะเล่า แต่ไว้เอาเป็นรายละเอียดที่ละอย่างทีหลังละกันโนะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

May 5, 2012, 02:04
13759 views
ได้รางวัลไปงานเปิดตัว M.I.B.3 ที่ New York จาก HTC
Oct 9, 2011, 16:06
9327 views
ภัยธรรมชาติที่รอคอย
0 Comment(s)
Loading