พระอาทิตย์ค่อยๆร่วงลงลาลับขอบฟ้าสีส้ม นกใหญ่เล็กผลัดกันบินโฉบลงไปที่ผิวน้ำคลองประปาเพื่อตุนน้ำไว้สำหรับกลางคืนอันมืดมิด ก่อนจะบินกลับรังที่แสนอบอุ่นไปทีละตัว
เป็นภาพที่เห็นทุกเย็นจนชินตา และช่วยย้ำเตือนจิตใจว่า วันเวลาช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงทีละนิดๆจนมืดสนิท เผยพระจันทร์เสี้ยวยิ้มแฉ่งราวกับดีใจที่ได้ออกมาหลังจากคอยเวลานี้อยู่ตลอดวัน
แสงสว่างแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด ความร้อนแรงจากแสงอาทิตย์แปรเปลี่ยนเป็นความนุ่มนวลของแสงจันทร์ ความวุ่นวายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงบ และความร่าเริงเริ่มเปลี่ยนเป็นความเปล่าเปลี่ยว
ระหว่างที่ทุกคนกำลังนอนหลับสบายอยู่นั้น มีอยู่ชีวิตหนึ่งกำลังนั่งทำงานของตัวเองอย่างตั้งใจอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จอ 20 นิ้วในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆตามลำพัง จะมีก็เพียงวิทยุคู่ใจคอยส่งเสียงอยู่เคียงข้างเพื่อไม่ให้มันเงียบจนเกินไป
ดอกกุหลาบที่สวยงามแต่มีหนามแหลมคมฉันใดก็ฉันนั้น สมาธิในการทำงานในตอนกลางคืนนี้ก็มาพร้อมความเหงาที่กรีดลึกเข้าไปในหัวใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายครั้งหลายคราความเหงาเข้ากัดกินจนถึงขั้นเสียน้ำตาเลยก็มี คำถามที่ได้ยินแล้วเจ็บช้ำเสียยิ่งกว่าโดนรถพุ่งชนประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่สร้างรอยยิ้มให้เรามากว่าสองปี ก็ล่องลอยเข้ามาพร้อมๆกัน เป็นภาพที่จะนึกถึงทุกครั้งเวลาเหงา เวลาไม่เหลือใคร เพราะคิดอยู่เสมอว่าอย่างน้อยเรายังเหลือเค้าอยู่ เพียงแต่วันนี้สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นรอยน้ำตา..
มองดูนาฬิกา เข็มยาวค่อยๆพ้นเลข 12 ไปสู่วันใหม่แล้วค่อยๆเปลี่ยนจากเลข 1 เป็นเลข 2 เลข 3 ไปจนถึงเลข 6 งานคืบหน้าไปได้ด้วยดีแต่ความเหงาที่ก่อเกิดก็ทำให้ทุกค่ำคืนเป็นการทำงานที่แสนทรมาน
"จิ๊บๆ" เสียงนกฝูงใหญ่ร้องทำเอาฉันหันไปมองที่หน้าต่าง แสงอาทิตย์สีทองส่องลอดผ่านม่านสีแดงทึบ ... และมันก็ผ่านไปอีกคืนแล้ว
สมาธิในการทำง่านท่ามกลางความสงบในคืนเงียบสงัดได้ผ่านไปอีกหนึ่งคืน ความง่วงเข้ามาแทนที่ ไฟในห้องถูกดับลงเหลือเพียงจิตใจที่ยังฟุ้งซ่านที่รอให้ภวังค์ช่วยบรรเทาลงไป
ระหว่างข่มตานอน คำถามเดิมๆก็เข้ามา แต่คราวนี้เริ่มถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น "เราเกิดมาเพื่ออะไร"
จะต่างจากเดิมก็ตรงที่แต่ก่อนยังคงค้นหาคำตอบ แต่ทุกวันมีคำตอบขึ้นมาในหัวว่า
"Nothing"