ไม่มีอะไร เป็นบล็อก Opinion ขำๆ เขียนไว้เล่นๆ ... ว่าด้วยเรื่องของ MacBook Pro ตัวใหม่ที่ผู้คนรอมาหลายปีมากๆกว่าจะออกตัวใหม่ และปรากฏว่ากระแสค่อนข้างไปทางเดียวกันตั้งแต่ความคิดเห็นไปจนถึงการรีวิวเครื่องจริง
... น่าเศร้าที่เป็นทางลบ ...
วันนี้เลยมาเขียนความคิดเห็นตัวเองอย่างเป็นทางการถึง MacBook Pro ตัวใหม่ที่เปิดตัวเมื่อเดือนก่อนกันบ้าง
หมายเหตุ: ยังไม่เคยได้สัมผัสเครื่องจริง ที่เขียนเป็นสิ่งที่คิดจากการเปิดตัวครับ จะบอกว่ามโนก็ได้ แต่ย้ำอีกที่ว่านี่เป็นความคิดเห็นน้อ
ความพยายามสู่การสื่อสารไร้สายสมบูรณ์แบบ
ในเบื้องหลังของทุกงานจะมีแนวคิดพื้นฐานของมัน ก่อนเราจะซื้อหรือเริ่มต้นกับอะไรก็ตาม เราจะทำความเข้าใจพื้นฐานของมันก่อนเพราะทุกอย่างมันจะต่อยอดจากตรงนั้น
สำหรับ MacBook Pro ตัวใหม่นี้เราสัมผัสได้ว่าแนวคิดพื้นฐานของมันคือ
"ทุกอย่างต้องไร้สาย"
ประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อยมากๆใน MacBook Pro ตัวใหม่นี้คือเรื่องของการที่มันมาพร้อม USB-C เท่านั้น
แต่ถ้าเกิดลองเปลี่ยนวิธีคิดดูว่า "เดี๋ยวนี้เค้าไม่เสียบสายกันแล้ว ทุกอย่างมันไร้สายหมดแล้ว" ก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาทันที
และเราเชื่อว่านั่นเป็นวิธีคิดของ MacBook Pro ตัวใหม่นี้ ซึ่งเอาจริงๆมันก็ใช่ โลกมันเปลี่ยนไปไร้สายเยอะมากๆแล้ว
เม้าส์และคีย์บอร์ดก็ไร้สายมาสักพักแล้ว
ทุกวันนี้ก็เอาหนังจากคอมพ์ขึ้นจอทีวีแบบไร้สายด้วย Chromecast / AirPlay ได้ ไม่มีกระตุก
การ Sync ข้อมูลจากมือถือไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายหรืออะไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็ขึ้น Cloud หมดแล้ว ไม่ได้ทำผ่านสาย
การส่งข้อมูลระหว่างเครื่องก็ทำไร้สายกันนานแล้ว WiFi Direct กับ AirDrop งี้
การอัปเดต OS ก็เป็น OTA ไม่มีใครเสียบสายกันแล้ว
เวลาพิมพ์เอกสารก็พิมพ์แบบไร้สายกันมานานแล้ว
ฟังแล้ว Convince มะ ... ก็ในเมื่อทุกอย่างมันไร้สายหมดแล้ว จะแคร์อะไรกับช่อง USB อีกหละ? และนั่นคือเหตุผลว่าช่อง USB ต่างๆจึงถูกตัดทิ้งเพราะแอปเปิ้ลเห็นว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไป และพอร์ตที่เหลือไว้ก็เลยถูกเปลี่ยนเป็นหนทางที่โลกกำลังจะหมุนไปอย่าง USB-C นั่นเอง
จริงๆมันเป็นวิธีคือของการออกแบบ MacBook รุ่นก่อนหน้า เพียงแต่สเกลขึ้นมาให้จริงจังกว่าเท่านั้นเอง
ฟังดูโอเคนะ แต่ปัญหาคือ ...
USB-C คืออนาคตจริงๆ ... แต่ตลาดยังไม่พร้อม
ฟันธงได้เลยว่าโลกจะหมุนไปยัง USB-C แน่นอน มั่นใจมากๆ มั่นใจสุดๆ สุดท้ายทุกอุปกรณ์จะใช้ USB-C เป็นมาตรฐาน อยากจะบอกว่าเราขอยกให้ USB-C เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์เลย มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก (ความจริงสิ่งที่ยอดเยี่ยมคือ USB 3.1) สุดท้ายอนาคตจะใช้ช่องเดียวนี่แหละต่อทุกอย่างได้หมด ตั้งแต่ Card Reader ยันการต่อออกทีวี ไม่ต้องแปลงโน่นแปลงนี่อีกต่อไป
แต่คำถามราคาหนึ่งล้านดอลล่าร์ ... "อนาคต" เนี่ยมันเมื่อไหร่
เราคาดไว้ว่า อีก 1 ปีเป็นอย่างน้อยกว่าอุปกรณ์ทุกชนิดจะเปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C จนเราจะสามารถหาซื้ออุปกรณ์ทุกชนิดได้ตามห้างทั่วไปในราคาที่เหมาะสม และ อีก 2 ปีเป็นอย่างน้อยกว่า USB-C จะถูกใช้จนเป็นเรื่องปกติ
ตอนนี้สิ่งที่ดีคือพอร์ต USB-C กลายเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ต่างๆแล้ว เงื่อนไขคือ "เวลา" เท่านั้น รอให้ทุกเจ้ายอมเปลี่ยนมาใช้ USB-C ที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ทุกอย่างก็จะลงตัว
เอาง่ายๆก็คือตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านแหละ และส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่แอปเปิ้ลมองออกว่า USB-C คืออนาคตและเลือกเอามาใช้ เพราะว่าแอปเปิ้ลใหญ่และมีพาวเวอร์พอจะทำให้ทุกคนทำตามได้ (คำศัพท์เฉพาะคือ Trend Setter) หากใครจะทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกเริ่มผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ USB-C จริงจังได้ก็มีแอปเปิ้ลนี่แหละ น่าจะเป็นคนเดียวที่นึกออกเลย
แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าตอนนี้อุปกรณ์ที่เป็น USB-C นั้นยังหายากมากๆ และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ทุกคนมีอยู่ในมือล้วนเป็น USB Type A และคงไม่มีใครซื้อใหม่ เพราะคนที่ซื้ออุปกรณ์ต่อพ่วงนั้นๆมาต้องคาดหวังให้ใช้กับรุ่นไหนก็ได้อยู่แล้ว (เพราะ USB มันเป็นมาตรฐาน) แต่การที่จะต่อกับ MacBook Pro ตัวใหม่นี้ได้ต้องใช้ตัวแปลงเท่านั้น นั่นแปลว่า ใน 2 ปีนี้ USB Type A to USB-C Adapter จึงเป็นสิ่งจำเป็นระดับที่ "เจ้าของ MacBook Pro ทุกคนต้องมี"
และแอปเปิ้ลก็รู้ตรงนี้ แต่ที่น่าเศร้าคือแอปเปิ้ลกลับเลือกที่จะ "คิดเงินเพิ่มสำหรับคนที่จะซื้อ Adapter" แทนที่จะแถมให้กับคนซื้อ MacBook Pro ให้สักเส้น
ซึ่งเชื่อมั้ยว่าถ้าแค่แถมมาเพียงเส้นเดียว กระแสจะต่างไปจากตอนนี้เยอะพอสมควร
แต่ถ้าแถมก็ไม่ใช่แอปเปิ้ลไง ... #แอปเปิ้ลนี่มันแอปเปิ้ลจริงๆ
และถ้าให้จินตนาการภาพการใช้งานว่าจะต้องเสียบสายโน่นนี่ต่อกันหลายต่อหลายต่อ ... มันก็รู้สึกลำบากมากแล้ว อนาคตมันไม่ใช่ปัญหา แต่เราไม่ได้อยู่ในโลกอนาคต เราอยู่ในโลกปัจจุบันป่ะ ...
(ภาพจาก reddit)
ก็ยังโชคดีที่ MacBook Pro มีหลายพอร์ต ภาพก็อาจจะไม่เลวร้ายเท่า MacBook ด้านบนที่มีแค่ช่องเดียว (ซึ่งส่วนตัวคิดเห็นว่า MacBook ออกแบบผิดพลาดเรื่องนี้) (แต่ MacBook Pro 13 นิ้ว ตัวต่ำสุดก็มีแค่ 2 ช่องอยู่ดี)
ยังไงถ้าจะซื้อ MacBook Pro ใช้จริงๆ ลองดูตัวแปลง USB แบบ AUKEY ตัวนี้ดู น่าจะเหมาะกับการใช้งานจริงมากกว่า (แค่ไม่มั่นใจใน Dimension ว่าจะเสียบได้ทุกช่องโดยไม่เบียดกันมั้ย)
ก็จะเห็นว่าเรื่องอุปกรณ์ต่อพ่วงสุดท้ายก็มีทางแก้แหละ แค่ต้องแก้ด้วย "เงิน" (โชคยังดีที่พอหาตัวราคาถูกๆได้บ้าง อย่าง AUKEY ด้านบนก็ 160 บาท) ความลำบากคงจะอยู่ที่ต้องพกของหลายชิ้นมาก ซึ่งส่วนตัวจากการที่ต้องพกสายแปลง HDMI/VGA ก็รู้สึกรำคาญมากแล้ว มันไม่คล่องตัวที่จะต้องคอยเก็บคอยเช็คว่าลืมโน่นลืมนี่รึเปล่าตลอดเวลา
การเป็นอุปกรณ์พกพาก็ควรจะทำให้ทุกอย่างง่ายต่อการพกพาที่สุดสิ ... ไปๆมาๆต้องคิดท่าเก็บว่าจะทำยังไงให้ง่ายที่สุด เกะกะน้อยสุด (มันเป็นศิลปะ)
ไหนๆก็พูดถึงสายต่อ HDMI และ VGA แล้ว เจ้า MacBook Pro รุ่นใหม่ก็ตัดช่อง Thunderbolt 2 ทิ้งไปเรียบร้อย ถ้าอยากจะต่อออกจอก็ใช้สายเดิมไม่ได้ มีทางเลือกให้สองทางคือ
1) ซื้อสายแปลง Thunderbolt 3 เป็น Thunderbolt 2 ราคา $29 (ลดแล้วจาก $49) แล้วใช้สายเดิมที่มีอยู่แล้วเสียบต่ออีกที
2) ซื้อสายแปลง Thunderbolt 3 เป็น VGA หรือ HDMI ราคา $49 (ลดแล้วจาก $69) ซึ่งตัวนี้ถึงจะแพงกว่าแต่สามารถต่อพ่วง USB-C เพิ่มได้
ซึ่งก็พอโอเค แต่ก็เจ็บปวดป่ะ ซื้อสาย Thunderbolt 2 มาก็ตั้งแพง เปลี่ยนคอมพ์แล้วก็ต้องมาซื้อเพิ่มอีกเส้น ... แก้ปัญหาด้วยเงินอีกละ และความสนุกคือถ้าใช้ตัว MacBook Pro 13" รุ่นล่างสุดก็สวัสดีเลย มีอยู่แค่สองช่อง ทำอะไรแทบไม่ได้ ต้องซื้อตัวเลือกที่สองเท่านั้น เพราะมันมาพร้อมช่องต่อ USB-C ออกให้ด้วย
แต่แค่คิดว่าพ่วงกันเยอะแค่ไหนก็จะร้องไห้ละ ...
สถานการณ์ของ USB-C ตอนนี้ก็คือมันไม่สามารถคุยกับอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาดได้ แต่แอปเปิ้ลก็เลือกที่จะตัดทุกอย่างที่ทำให้คุยกับของที่มีอยู่แล้วได้ทิ้ง และถ้าอยากจะให้คุยกับชาวบ้านได้ต้องใช้ "เงิน" แก้ปัญหา แถมพ่วงมาด้วยความลำบากในการพกพาอุปกรณ์เสริมอีก อันนี้ไม่ใช่เฉพาะ MacBook Pro นะ แม้แต่ Notebook ยี่ห้ออื่นที่ตัดสินใจเปลี่ยนเป็น USB-C ทั้งหมดก็เช่นกัน
ก็มีบางรุ่นที่มีแนวคิดของการ "เปลี่ยนผ่าน" ต่างกันออกไป คือ Notebook ที่มาพร้อม USB-A และ USB-C เช่น Lenovo Yoda 900 หรือ Dell XPS 13 (2016)
ก็ถือเป็นอีกแนวคิดนึง แต่ถามว่าอันไหนเวอร์คกว่ากันก็บอกไม่ได้แฮะ การที่ติดหลายๆพอร์ตเข้ามาก็ทำให้การสื่อสารกับผู้ใช้ลำบากมาก การตัดสินใจเปลี่ยนเป็น USB-C ทั้งหมดก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่า
โดยสรุปแล้วส่วนตัวรู้สึกดีที่ MacBook Pro มีการปรับมาใช้ USB-C ทั้งหมด แต่รู้สึกไม่แฮปปี้ที่แอปเปิ้ลรู้อยู่แก่ใจว่ามันยังไม่พร้อมขนาดนั้นแต่ดันเลือกขายอุปกรณ์เสริมทั้งๆที่มันไม่ควรจะเรียกว่าอุปกรณ์เสริม ณ ขณะนี้ ... USB-C มันคืออนาคตแน่นอนแล้ว แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ การเลือกผลักภาระทั้งหมดมาที่ลูกค้าเป็นอะไรที่น่าเศร้า ไม่ต้องแปลกใจที่แอปเปิ้ลเลยโดนกระแสแง่ลบพัดใส่อย่างที่เห็น
เรารู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่จริงใจ (ซึ่งมันเป็นวิธีคือของแอปเปิ้ลมาตลอดอยู่แล้ว) อย่างน้อยถ้าแถมสายแปลง USB-C to USB-A มาเส้นนึงก็คงจะซื้อใจผู้ใช้ได้มากกว่านี้มหาศาลโดยไม่กระทบต่อ Net Profit เลยด้วยซ้ำ
ก็ยังดีที่สุดท้ายแอปเปิ้ลรู้ว่าตัวเองทำพลาดเลยลดราคา Cable Adapter ลงมา 30%-50% จนราคาเอื้อมถึง ทำให้คนบ่นน้อยลงไประดับนึง แต่ก็นะ ... ก็ต้องซื้อเพิ่มอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ขอสรุปในหัวข้อนี้ว่า ภาพสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในโลกใบนี้คือ ทุกอย่างจะเป็น USB-C ตั้งแต่นาฬิกายันทีวี แต่กว่าจะถึงวันนั้นต้องรออีกสักพักใหญ่ๆ ถ้าใครอยากจะเข้าร่วมชะตากรรมตั้งแต่ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่าต้องยอมเปย์เรื่อยๆห้ามบ่นห้ามว่าจนกว่าจะถึงวันนั้น
iPhone 7 ต่อกับ MacBook ไม่ได้ ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ...
iPhone 7 กับ MacBook Pro ตัวใหม่ออกห่างกันแค่เดือนเดียว แต่ความน่ารักคือ iPhone 7 เป็นหัว USB-A ต่อกับ MacBook Pro ไม่ได้ ถ้าอยากต่อต้องซื้อ Adapter เพิ่ม ...
จริงๆก็เข้าใจได้ หากเอาวิธีของหัวข้อแรกที่ว่า "iPhone 7 ไม่จำเป็นต้องต่อกับ MacBook แล้ว" (ซึ่งเอาจริงๆเราก็ไม่เคยต่อมานานมากแล้ว) มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่ในแง่จิตใจของคนที่ซื้อ iPhone 7 กับ Macbook Pro ลองคิดดูว่าเค้าต้อง Loyalty กับแอปเปิ้ลแค่ไหนถึงซื้อทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเค้าคิดจะเอาสองอย่างนี้มาต่อกันเพื่อจุดประสงค์อะไรก็ตาม เค้ากลับต้อง "จ่ายเงินเพิ่ม" ทั้งๆที่ทั้งสองอย่างก็แพงมหาศาลมากอยู่แล้ว ...
นี่คือความผิดพลาดที่ทำลายความรู้สึกของลูกค้าระดับ Loyalty ได้อย่างย่อยยับ
และที่เจ็บปวดกว่าเข้าไปอีกคือ เราเสียบหูฟังที่มาพร้อม iPhone 7 (หัว Lightning) เข้ากับ MacBook Pro ไม่ได้
สำหรับกรณีนี้เราว่ามันเลวร้ายมาก เพราะการเสียบหูฟังเข้ากับ MacBook เป็นสิ่งที่ทำกันปกติ คราวนี้กลายเป็นว่าต้องหาทางแก้อีก
1) พกหูฟังสองอัน อันนึง Lightning แล้วก็ซื้อ 3.5mm เพิ่ม
2) ซื้อหูฟัง 3.5mm แล้วพกอันเดียว แล้วก็ซื้อ Adapter แปลง 3.5mm เป็น Lightning ไว้เสียบกับ iPhone 7 (และมันจะรกมาก ต้องคอยสลับสายไปมา)
3) ซื้อหูฟัง Bluetooth อันเดียว
ไม่ว่าจะทางเลือกไหน มีคำว่า "ซื้อเพิ่ม" ทั้งหมด ... ไม่จบในตัวแน่นอน
เช่นเคย สำหรับผู้คิดจะใช้ทั้ง iPhone 7 และ MacBook Pro รวมกันก็เตรียมเงินในกระเป๋าเพิ่มได้ครับ #สายเปย์
iPhone 7, Lightning และ USB-C
เข้าใจว่าทำไม iPhone รุ่นก่อนๆหน้าถึงใช้ Lightning แต่เดาใจเปิ้ลไม่ออกเลยว่าทำไม iPhone 7 ถึงไม่ใส่ USB-C มา ... รวมถึงเดาใจไม่ออกด้วยว่ารุ่นหน้าจะเปลี่ยนเป็น USB-C มั้ย ไม่รู้ว่ามองข้อจำกัดด้านขนาดหรือว่าอะไรยังไง เพราะ USB-C กว้างกว่า Lightning พอสมควรและก็หนากว่าหน่อยนึง (1.5mm vs 2.5mm)
แต่สิ่งที่บอกได้คือ ถ้า iPhone 7 เป็น USB-C โลกจะหมุนเร็วกว่านี้และความรู้สึกแง่ลบต่อ MacBook Pro ตัวใหม่ก็จะลดลงไปเยอะพอสมควร ถ้า iPhone 8 ใช้ USB-C เราก็คงถือว่า iPhone 7 เป็นก้าวเดินนึงที่ผิดพลาดครั้งใหญ่
ยังไงถ้ารักเปิ้ลก็เตรียมโดนเทและพร้อมโดนบังคับเปย์เพื่อระบบปิดของพี่เปิ้ลเค้าตลอดเวลา ทำใจไว้
การเอา MagSafe ออกเป็นเรื่องน่าผิดหวัง
สำหรับคนอื่นเราไม่รู้นะ แต่สำหรับเรา MagSafe เป็นสิ่งมีค่ามากๆของ MacBook เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ หากมีคนสะดุดสายไฟ แต่ MacBook Pro ตัวใหม่ก็เอาของที่มีค่าที่สุดออกไปเรียบร้อยแล้วเพื่อ Favor ให้กับ USB-C ...
เอาจริงๆมันมี Solution ที่ดีที่จะใช้ USB-C ร่วมกับ MagSafe แต่แอปเปิ้ลก็เลือกที่จะไม่ทำมา เลยเป็นช่องทางให้ 3rd Party ทำมา เช่น Griffin (ราคา $39) ซึ่งถึงจะผิด Patent ของแอปเปิ้ลแต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเกิดอุบัติเหตุแล้วสาย USB-C ลากเครื่องราคา 80000 บาทลงพื้นไปป่ะ ...
ก็ไม่แน่ อนาคตแอปเปิ้ลอาจจะขายเป็น "อุปกรณ์เสริม" อีกเช่นกัน หะหะ
ส่วนวิธีคิดว่า สุดท้ายแอปเปิ้ลน่าจะทำที่ชาร์จไร้สายออกขายนั้น ... ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น อันนี้ขอปัดตกไป เพราะการชาร์จไร้สายมีข้อจำกัดเยอะมาก แม้แต่การชาร์จมือถือก็ยังไม่ถึงจุดที่ทำได้อย่างน่าพอใจ
สุดท้าย MagSafe ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่สบายใจที่จะใช้ Macbook Pro ตัวใหม่เลย และถ้าจะต้องใช้จริงๆก็คงซื้ออุปกรณ์เสริมอย่างเช่นของ Griffin มาใช้ (ราคาเป็นพันอีก)
เปย์กันต่อไปนะจ๊ะ ...
การตัดช่อง Card Reader ทิ้งไปก็น่าผิดหวังเช่นกัน
จากใจ ไม่รู้จริงๆว่าแอปเปิ้ลใช้วิธีคิดแบบไหนที่ตัดช่องที่จำเป็นมากๆนี้ทิ้งไปแล้วให้ลูกค้าพก Card Reader ใหญ่ๆแทน ...
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ อ่านบทสัมภาษณ์ของคุกก็ยิ่งไม่เข้าใจวิธีคิดหนักเข้าไปอีก เหตุผลว่าตอนเสียบแล้วมันยื่นออกมาก็ฟังไม่ขึ้น เหตุผลว่ามีคนใช้ CompactFlash ก็ฟังไม่ขึ้น
MacBook Pro มันควรจะโปรไม่ใช่หรอ? แต่วิธีคิดเรื่องนี้เหมือนไม่เข้าใจตลาดโปรฝั่งกล้องเลยจริงๆ
ทำไมช่องหูฟัง 3.5mm ถึงไม่ถูกตัดทิ้ง?
อันนี้เห็นด้วย ตอบแทนคุกได้เลย นี่คือสาเหตุครับ
งานด้าน DJ นั้นมีการใช้งาน MacBook Pro เยอะมากๆๆๆๆๆๆ เรียกว่าครองตลาดเลยหละ และอุปกรณ์ที่ใช้ต่อเข้ากับ MacBook Pro ไม่ใช่แค่หูฟัง แต่เป็นพวก Mixer งี้ Amp งี้ พวกนี้ไม่มี Wireless ครับ ถ้าตัดช่อง 3.5mm ทิ้งไป ดราม่าหนักแน่นอน
MacBook Pro แต่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งคอมพิวเตอร์สำหรับ Pro
ถ้าได้ลองไปอ่านบล็อกต่างประเทศจะเห็นคำเดียวกันเลย
"มันไม่ใช่คอมพิวเตอร์สำหรับ Pro"
หรือตีให้ชัดกว่านั้นก็
มันคือ MacBook ที่ใหญ่ขึ้นดีขึ้นนิดนึง
หรือบางสำนักก็เจ็บปวดหน่อย
จ่ายราคา MacBook Pro แต่ได้ MacBook Air
โดนปรับตกลีคจาก Pro ไปซะแล้ว ...
และคะแนนเฉลี่ยก็อยู่ที่ราวๆ 3.5/5 เท่านั้น อันนี้เป็นลิงก์ตัวอย่าง ลองไปอ่านดูได้
- MacWorld - 13-inch MacBook Pro review: Too many tradeoffs
- MobileTechReview - 13" MacBook Pro (Late 2016)
- Review: The $1,499 2016 MacBook Pro is an expensive MacBook Air on the inside
- The Verge - The MacBook Pro is a lie
ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับเราตอนฟังงานเปิดตัวเลย เรารู้สึกว่ามันไม่ Pro เพราะการใช้งาน Pro มันหลากหลายมาก ซึ่งรุ่นก่อนๆทำมาได้ดีมาโดยตลอด แต่รุ่นนี้แอปเปิ้ลกลับเลือกตัดโน่นนี่ทิ้งจนเกิดข้อจำกัดมากมาย เลยกลายเป็นรู้สึกว่ามันเป็น MacBook ไม่ใช่ MacBook Pro ซึ่งถ้าอยากทลายข้อจำกัดก็จ่ายเงินเพิ่มเอานะ ...
อย่างไรก็ตามเรามามาสรุปจากข้อมูลที่เค้า Benchmark มาให้แล้วคร่าวๆว่ารุ่นนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างในแง่ประสิทธิภาพครับ
สวยขึ้น
ทุกสำนักพูดเหมือนกันหมดว่าสวยขึ้น อันนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องนึงที่คนใช้ MacBook สนใจ เลยยกเอามาพูดไว้ครับ
จอสวยมาก
อันนี้ทุกสำนักก็พูดตรงกันว่าจอสวยครับ
ประสิทธิภาพพอๆกับรุ่นปีที่แล้ว แต่ประหยัดไฟกว่า
ถึงแม้จะออกห่างกันถึงปีกว่าๆ แต่ผล Benchmark บอกว่าประสิทธิภาพโดยรวมของหน่วยประมวลผลนั้นพอๆกับตัวเดิมเลย เพราะว่า MacBook Pro ตัวใหม่นี้เลือกใช้ Intel Processor Generation ตัวใหม่กว่า (6th Generation - Skylake) ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นและประหยัดไฟลงด้วยสถาปัตยกรรมขนาด 14nm แต่ CPU ที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวที่ Clock ต่ำลงมากว่าปีที่แล้ว ประสิทธิภาพโดยรวมก็เลยพอๆกับตัวเก่านั่นเอง มาดูผล Benchmark กัน เริ่มจาก Single Core CPU Test
(Geekbench 4.0.1 Single-Core CPU test. Longer bars are better. - MacWorld)
และ Multicore CPU Test
(Geekbench 4.0.1 multicore CPU test. Longer bars are better. - MacWorld)
ผล OpenCL Test ได้สูงกว่ารุ่นปีที่แล้วมาก ทั้งนี้เพราะ CPU ตัวใหม่มาพร้อม GPU Iris 540 ซึ่งดีกว่าตัวเดิม (Iris 6100) พอสมควร
(Geekbench 4.0.1’s OpenCL test. Longer bars are better. - MacWorld)
แต่ผล OpenGL Test ไม่ได้ดีเท่า OpenCL Test กลับกลายเป็นว่าดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
(Cinebench’s OpenGL test. Longer bars are better. - MacWorld)
ดังนั้นโดยรวมแล้วประสิทธิภาพการประมวลผลเลยพอๆกับตัวเดิม ยกเว้น GPU ที่ดีขึ้นพอสมควร (แอบเศร้ากราฟด้านบนตรงที่เทียบกับ Air แล้วมันไม่ต่างมากนี่แหละ ...)
สำหรับคนที่ต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้น แอปเปิ้ลก็จัดออปชั่นให้ซื้อตัวสเปคแรงขึ้นได้อยู่ (เป็นตัว Core i7-6660U - Skylake)
โดย Benchmark ด้านบนเป็นตัวต่ำสุด (Entry-Level) สำหรับตัวที่มี Touch Bar จะใช้ CPU ตัวอื่นที่แรงขึ้นแต่ก็กินไฟขึ้นเช่นกัน ยังไงมาดูเรื่องการกินไฟต่อเลยดีกว่า
การกินไฟ
เนื่องจาก Skylake กินไฟน้อยลงพอสมควร ตัวต่ำสุดกินแค่ 15W ทำให้การใช้งานทั่วไปเลยใช้งานได้ยาวนานกว่ารุ่นปีก่อนหน้าถึงแม้ประสิทธิภาพจะเท่ากัน (เพิ่มขึ้นราวๆ 10%)
แต่สำหรับงานที่มีการประมวลผลกราฟฟิกส์แล้ว เจ้ารุ่นใหม่กลับกินไฟเยอะกว่าอยู่เล็กน้อย
ดังนั้นก็ต้องดูตามงานกันไปว่าเหมาะสมมั้ยครับ แต่ส่วนใหญ่คนซื้อ Pro ไปทำงานด้านกราฟฟิกส์ ดังนั้นแบตอาจจะไม่ได้ใช้งานได้นานขึ้นเท่าไหร่ สรุปแล้วโดยรวมการใช้งานจริงน่าจะได้ประสิทธิภาพเท่าเดิมและใช้ได้นานเท่าเดิมครับ แต่ตัวเครื่องก็บางกว่าเบากว่านะ
ความเร็วดิสก์
สิ่งที่น่าประทับใจคือความเร็วดิสก์ที่อ่านได้เร็วมากแบบพุ่งปรี้ดเลย ซึ่งมันจะส่งผลต่อความเร็วในการทำงานด้วยเช่นกัน (แต่เร็วขนาดนี้อาจจะไม่ส่งผลมาก เพราะมันเกินการใช้งานทั่วไปไปแล้วงี้)
ส่วนความเร็วการเขียนดีขึ้นเล็กน้อยครับ
จำกัดแรมแค่ 16GB
การทำงานระดับโปร แรม 32GB เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายคนเลย แต่แอปเปิ้ลเลือกที่จะจำกัดแรมอยู่แค่ 16GB เท่านั้นเอง อันนี้เป็นข้อจำกัดที่ใหญ่มาก ...
สำหรับใครที่คิดว่า 16GB นั้นพอก็คงไม่ใช่ปัญหาครับ
Touch Bar คือ Gimmick
ลองเล่น Touch Bar มาละ ส่วนตัวก็เห็นประโยชน์การใช้งานนะ แต่ประโยชน์ที่ว่าอยู่ในระดับ "Gimmick" เท่านั้น (Nice to have ไม่ใช่ Must have)
มันเหมือนของเล่นคนรวย ถ้ามีตังค์ก็ซื้อมาเล่นได้ แต่ถ้าไม่มีตังค์ก็มีอย่างอื่นให้ใช้แทนเยอะแยะ ส่วนตัวยอมเอามันออกเพื่อแลกกับราคาที่ลดลง 10000 บาท ... และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่เรายังยั้งไม่คิดจะซื้อ MacBook Pro รุ่นนี้ แอบหวังว่ารุ่นถัดไปจะมีตัวท็อปที่ไม่มี Touch Bar ขาย
ราคา ... ขึ้น ... ทำไมฟระ
เมื่อดูข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาข้างต้นแล้วก็จะเห็นว่าโดยรวมมันไม่ต่างจากตัวเดิมเท่าไหร่ แต่ ... ราคาดันขึ้น !
ราคาขึ้นแบบ ทุกเว็บทุกสำนักเมนชั่นเรื่องนี้หมด เพราะมันไม่ใช่แค่ราคาขึ้น แต่ Compatibility ต่างๆก็ลดลงด้วย (จากการเปลี่ยนทุกพอร์ตเป็น USB-C) จนมีคนพูด Quote นี้มาแล้วรู้สึกว่ามันใช่
Higher Price, Less Compatibility
คือถ้าแพงขึ้นแล้วจบก็ยังพอบาดหมางเล็กน้อย แต่นี่แพงขึ้นแล้วยังต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มอีกเยอะมากกกกกกกก (ดูด้านบนก็จะเห็นว่าต้องซื้อเพิ่มอีกหลายอย่างมาก) กลายเป็นว่าแพงมากแล้วไม่จบอีกต่างหาก คราวนี้เลยกลายเป็นสิ่งที่แย่มากๆของรุ่นนี้ไปเลย
และปัจจัยด้านราคานี้เองที่ทำให้ MacBook Pro ตัวนี้น่าผิดหวังและไม่น่าลงทุนเท่าไหร่ หวังว่ารุ่นถัดไปแอปเปิ้ลจะเข้าใจอะไรมากขึ้น ...
ยังไงก็ขายดี
ถึงแม้ที่พูดมาจะเจอข้อเสียเยอะแยะมากมาย แต่พูดเลยว่ายังไง MacBook Pro รุ่นนี้ก็ขายดี เพราะสำหรับคนใช้ Mac OS ยังไงก็มีทางเลือกไม่มาก ถ้าไม่ได้คิดอะไรมาก จะซื้อมาทำงานก็คงซื้อรุ่นใหม่สุดอยู่ดี และยิ่งกับไลน์ผลิตที่คนรอคอยมานานแสนนานแบบ MacBook Pro แล้ว คนซื้อมาใช้ไปพลางๆก็คงมีอยู่เยอะมาก
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากเจอข่าวว่ามันขายดี
นี่แหละ ผลของการใช้ Mac ... ถ้าใช้ Windows ก็คงไม่มีปัญหานี้ เดี๋ยวนี้ Windows Virus Free แล้วนะ ... คือมีไวรัสให้โหลดฟรีเพียบเบยยย เท่จะตาย
สรุป ... มันคือ MacBook Pro สำหรับ "Early Adopter"
ถึงตอนจบแล้ว ถามว่า MacBook Pro มันแย่ขนาดห้ามซื้อมั้ย? ก็คงบอกว่าไม่ถึงขนาดนั้น ซื้อใช้งานได้ แต่ต้องทำใจยอมรับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้
1) เตรียมซื้ออุปกรณ์เสริมไม่หยุด
2) เตรียมพกสายต่างๆนานาเพียบ
3) เตรียม MacBook Pro ราคาแพงลิบตกพื้นเดือนละครั้ง
ดังนั้นเราเลยขอสรุปว่ามันเป็น
MacBook Pro สำหรับ Early Adopter
อนาคตมันมาทางนี้แน่นอน แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คนกลุ่มนี้ต้องยอมรับข้อเสียเหล่านี้และยอมจ่ายเงินเพิ่มเรื่อยๆให้ได้ หากคุณคิดจะเป็น Early Adopter ก็สั่งซื้อได้ครับ ผมว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ส่วนผมกำลังคิดจะซื้อตัวต่ำสุดมาใช้รีวิวสักเดือนแล้วขายต่อ แต่กังวงข้อสุดท้ายเป็นหลักแหละ ... ถ้ามันตกขึ้นมาคงขายต่อไม่ได้
ส่วนคนทั่วไป คำแนะนำของเราคง
1) ใช้ตัวเดิม อัปเกรด SSD/RAM ไปก็ใช้งานได้อีกเป็นปีละ
2) ซื้อตัวตกรุ่นแล้วรอ MacBook Pro Gen 2 ที่ตลาดพร้อมแล้วอีกที
ก็จบแต่เพียงเท่านี้ ย้ำอีกทีว่านี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวน้อ ไว้ถ้าได้เครื่องจริงมารีวิวค่อยว่ากันอีกที =)
สวัสดีก๊ะ