เพิ่งกลับมาจากซานฟรานฯเมื่อวานนี้ นับเป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะใช้เวลาเดินทางรวมแล้วถึง 22 ชั่วโมงในขาไป และ 24 ชั่วโมงในขากลับ แต่ก็ไม่เหนื่อยและไม่เบื่อเลยเพราะบนเครื่องมีเนตให้ใช้ แถมโหลดเกมไปเล่นชนิดที่เล่นยังไงก็ไม่หมด ทำอะไรมีอะไรทำตลอดเวลานั่นเอง
การเดินทางครั้งนี้จุดประสงค์หลักคือไปงาน GDE Summit ที่กูเกิลสปอนเซอร์ค่าเดินทางและค่าที่พักให้ แต่งานมันแค่สองวัน ถ้าจะเดินทางนานขนาดนี้เพื่อสองวันมันไม่คุ้ม ก็เลยอยู่ไปเลย 8 วันรวด (17-24 พ.ย.) และใช้โอกาสนี้เรียนรู้วัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของคนที่นั่นไปเลย เผื่อมีโอกาสจะได้ไปทำอะไรที่โน่น ...
และก็ถือเป็นทริปที่คุ้มมาก เพราะได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย เลยขอมาบันทึกการเดินทางไว้ ณ ที่นี้ มีหลายๆเรื่องปะปนกันไปและรูปเยอะมากกกกก ก็ลองอ่านๆดูละกันนะจ๊ะ =)
เดินทางด้วยสายการบิน Emirates
ทริปนี้กูเกิลจองตั๋วให้ เราก็แค่พยักหน้าอย่างเดียว และสายการบินที่เค้าจัดให้คือ Emirates ซึ่งมี Route อ้อมโลกด้วยการไป Transit ที่ดูไบ แล้วค่อยอ้อมไปเมกา เลยเป็นการเดินทางที่ยาวนานจัดๆถึง 24-26 ชั่วโมงเลยทีเดียว (อยู่ดูไบ 3 ชั่วโมง ที่เหลืออยู่บนฟ้า)
แต่ Emirates ก็เป็นสายการบินเจริญแล้ว ดังนั้นถึงระยะทางจะยาวนาน แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยเลย ที่นั่งก็สบายเพราะเป็นเครื่อง A380-800 ที่ที่นั่งกว้าง ยืดขาจนสุดก็ไม่ติดเก้าอี้ด้านหน้า (หรืออาจจะเพราะเราขาสั้น)
ทุกอย่างมีพร้อมสรรพไม่ว่าจะเป็น In-Flight Entertainment (ดูหนัง เล่นเกม บลาๆๆ) บนจอที่ใหญ่โตมโหฬาร โดยมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตามระยะทาง ไฟล์ท 6 ชั่วโมงจากไทยไปดูไบเป็นจอ Resistive ที่ต้องใช้เล็บจิ้มและคมชัดน้อยกว่า ส่วนไฟล์ท 14 ชั่วโมงจากดูไบไปซานฟรานฯจะเป็นจอ Capacitive ที่ภาพสีสันสวยงามมาก ซึ่งก็ Make Sense นะ
หนังใหม่มีครบถ้วนมาก อย่าง MI5 : Rouge Nation ก็มีแล้ว ดูกันเพลินๆ แต่จากที่สำรวจดูเนี่ย ... ดูหนังแขกกัน 80% ของไฟล์ท เพราะคนส่วนใหญ่เป็นแขกนั่นเอง ~ ~
สำหรับไฟล์ทยาวจากดูไบไปซานฟรานฯ มีแจกพวกผ้าปิดตา แปรงสีฟัน ฯลฯ ให้ด้วย ซึ่งดีย์~~~
ส่วนอาหารก็พอทานได้ ความอร่อยแบบน้ำตาจะไหลคงคาดหวังไม่ได้เท่าไหร่นัก
สายการบินระดับโลกขนาดนี้ทั้งที เรื่องของกฏการบินก็อัพเดตเป็นล่าสุดเรียบร้อย ไม่มีการไล่บอกให้คนปิดมือถืออีกต่อไป ให้แต่ละคนรับผิดชอบเข้า Flight Mode เอง จะเล่นเกมระหว่างเครื่อง Take Off ก็ไม่มีใครว่า และบนฟ้าก็มีเนตให้ใช้ด้วย ฟรี 10MB แรก และจ่ายเพียง $1 สำหรับการซื้อเพิ่ม 500MB (จ่ายผ่านบัตรเครดิตผ่านหน้าเว็บบนเครื่องได้เลย เป็นระบบอัตโนมัติ) ... นั่นแหละ ได้ยินไม่ผิด ถูกมากมาย
แต่เนตบนนั้นก็ไม่ได้เร็ว อย่าคาดหวังอะไรมากมาย มันเป็นเนตดาวเทียม แค่พอเล่นได้ อัพโหลดนู่นนี่ได้ เรียกว่าให้ตายยังไงก็ใช้ได้ไม่ถึง 500MB อย่างเราใช้ 100MB ไปก็แทบจะได้โล่ประกาศเกียรติคุณแล้ว ... บางโซนก็จะเล่นไม่ได้ แล้วแต่ว่ามีสัญญาณรึเปล่า บางช่วงหายไปเลย 2 ชั่วโมงก็มี
ส่วนเรื่องไฟฟ้าก็ไม่มีปัญหา มีช่อง USB ให้เสียบชาร์จไฟ จ่ายได้ 1A มั้ง ไฟขึ้นแบบ Slow Life แต่ก็ทำให้มือถือแบตเต็มได้ตลอดเวลา และที่นั่งส่วนใหญ่ก็มีรูปลั๊กไฟแบบ 3 ขา (รูมาตรฐานของเมกา) เสียบปลั๊กเล่นโน่นเล่นนี่ได้เลย
โดยรวมเป็นการบินที่มีความสุขดีครับ ดูไบก็มีอะไรให้เดินเล่นเยอะอยู่ เหมาะสมกับเวลา 2 ชั่วโมงที่โดนทิ้งอยู่ที่นั่นดี
ปัญหาที่เจอของสายการบินนี้คือ Online Check-in ได้ที่นึงแต่ถึงเวลาดันได้นั่งอีกที่นึง แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไร ปล่อยๆไป เรายังไงก็ได้ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก แขกอาจจะมีวุ่นวายบ้างนิดหน่อย แต่พอลงตัวแล้วทุกอย่างก็ราบรื่นดี แล้วก็มีเรื่องเด็กอ่อนที่มีเยอะมากกกก นับได้หลายสิบเลยมั้ง แล้วทุกคนก็ร้องไห้ประสานเสียงกันทุก 5 นาที ... ก็น่าแปลกใจที่มีเยอะทุกไฟล์ทที่บินเลย โชคยังดีที่ใส่หูฟังครอบหูไว้ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร
การเดินทางออกจากสนามบิน San Francisco
คำถามอย่างแรกสำหรับการเดินทางไปไหนครั้งแรกก็คือ เราจะเดินทางออกจากสนามบินยังไง?
สำหรับสนามบิน San Francisco นั้นจะอยู่ด้านใต้ของเมือง San Francisco ไม่ได้อยู่ห่างจากตัวเมืองมากนัก ความไกลจากตัวเมืองอยู่ระดับประมาณสนามบินดอนเมือง การเดินทางจึงค่อนข้างสะดวกเพราะมีขนส่งสาธารณะที่สะดวกมากเข้าถึงอยู่คือ BART หรือเทียบได้กับรถไฟฟ้าบ้านเรานั่นเอง
นี่คือแผนผังการเดินรถ (สนามบินอยู่สายสีเหลืองตามที่วงไว้)
ซึ่ง BART ในฝั่ง West Bay (ฝั่งซ้าย) จะสิ้นสุดที่ Millbrae เท่านั้น หากจะลงไปใต้กว่านั้นเช่นถึง San Jose ก็ต้องไปต่อรถไฟยักษ์ที่ชื่อว่า Caltrain ซึ่งไว้จะพูดถึงอีกทีในส่วนการเดินทางภายใน San Francisco และเมืองรอบข้าง
แต่ถ้าเดินทางเข้าเมืองก็จะสะดวกมากถ้าใช้ BART วิธีการใช้บริการก็ง่ายๆ เดินไปเครื่องซื้อตั๋วและเอาแบงค์หรือเหรียญหยอด ค่าใช้จ่ายอยู่ที่แถวๆ $4-$6 ต่อคน ที่เหลือเหมือน BTS บ้านเราทุกประการ เสียบบัตรขาเข้าและขาออกเป็นอันเสร็จพิธี ก็ดู Map ให้ดีละกันว่าจะไปลงที่ไหนเพราะราคาไม่เท่ากัน
นอกจาก BART แล้ว อีกทางเลือกก็คงเป็น Uber ละ ที่นี่ใช้ Uber กันสนุกมาก แต่ค่าใช้จ่ายก็บานเลยหละ เดินทางระยะสั้นๆก็ $10 ละ ถ้าเกิดจากออกจากสนามบินซานฟรานฯแล้วเข้าเมืองอาจจะจ่ายกันหัวโต $30-$40 ได้เลย ถ้ายินดีจ่ายก็เรียก Uber ได้เลย สะดวกดี แต่ถ้าจ่ายไม่ไหว แนะนำให้ขึ้น BART เพื่อไปลงใกล้ๆแล้วค่อยเรียก Uber ต่อ จะเป็นทางเลือกที่ถูกดีครับ
แต่ถ้าไปกัน 2 คน เรียก Uber เลยก็อาจจะแพงกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าไป 3 คน เรียก Uber อาจจะถูกพอๆกันหรือถูกกว่าได้ ดังนั้นลองไปคำนวณดูได้ครับ =)
โดยรวมแล้วการเดินทางไม่ยากเลยและก็ไม่ต้องกังวลเรื่องคนโกงแบบในไทยเท่าไหร่ สามารถเดินทางง่ายๆและดูแลตัวเองได้จนถึงที่พักอย่างปลอดภัย
การซื้อ SIM Card ใช้
เราอยู่ในยุคที่หากขาดซึ่งอินเตอร์เน็ตบนมือถือแล้วคงจะลงแดงตายกัน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ตอนไปต่างประเทศคือ "หาเนตใช้"
ปกติก็จะมี 2 ตัวเลือกคือ (1) เปิด Roaming (2) ซื้อซิมท้องถิ่นใช้
สำหรับที่เมกานั้น การเปิด Roaming จะอยู่ที่ราคาวันละ 500 บาททุกค่าย และเนื่องด้วยระยะทาง ปกติเราจะไปที่นั่นกันอย่างต่ำก็ 5 วันละ คูณๆเอาก็เหนาะๆ 2500 บาท ... แพง ... ส่วนเราไป 8 วัน คูณออกมาแล้วนี่น้ำตาไหลเลยนะ
ดังนั้นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับการเที่ยวเมกาคือ "ซื้อซิมใช้เถอะ"
วิธีการซื้อซิมที่นั่นถือว่าง่ายมากครับ ง่ายกว่าไทยอีก สามารถซื้อใน 7-Eleven หรือ Walgreen ได้เลย จะมีแขวนเอาไว้ให้เลือกซื้อราวกับซื้อขนม โดยมีให้เลือกหลายเครือข่ายเลย แต่เราเลือกใช้ T-Mobile แฮะ เพราะมันดัง ... แค่นั้นแหละ โดยค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ ค่าซิมการ์ด $9.99 + ค่าแพลน $30 ซึ่งใช้เนตได้ Unlimited เป็นเวลา 30 วัน รวมแล้วก็ราวๆ 1450 บาท ซึ่งถือว่าโอเคเลยนะ
โดยการเลือกซื้อทำได้สองแบบคือ
แบบที่ 1: ซื้อ Starter Kit แบบซิมพร้อมบัตรเติมเงิน
อันนี้ง่ายสุดเพราะขายเป็นชุดที่มาพร้อมกันทั้งซิมการ์ดและบัตรเติมเงิน พร้อมเขียนข้างหน้ากล่องแบบงงๆว่าซื้อแบบนี้แล้วจะได้ Call + SMS นะ แบบนี้จะได้ Call + SMS + Data นะ ... อย่าไปเชื่อมัน จริงๆมันก็แค่แพคเกจที่มาพร้อมบัตรเติมเงินเท่านั้น สุดท้ายจะเลือกใช้อะไรก็เรื่องของเรา ดังนั้นดูตามราคาที่ต้องการได้เลย
อย่างในกรณีของเรา เราต้องการเติมเงิน $30 เพื่อซื้อแพคเกจ ดังนั้นเราต้องซื้อแพคเกจที่มีมูลค่าอย่างน้อย $30 อย่างเช่น $35 เป็นต้น (เพราะ Starter Kit มันมีจำกัดแค่ไม่กี่แบบ ที่เราหาได้นี่ $35 จะใกล้เคียงกับที่เราจะเอาที่สุด) สุดท้ายก็จะต้องจ่ายไป $44.99 (ค่าซิม $9.99) พอได้มาก็ Activate และเติมเงินซะ จากนั้นระบบจะหักเงินเราไป $30 ตามแพคเกจที่เราเลือก และจะเหลือเงิน $5 ที่ทำอะไรกับมันไม่ได้ ...
หากหาตัวที่เป็น $30 เป๊ะๆได้ (จ่าย $39.99) ก็จะวินที่สุดครับ
แบบที่ 2: ซื้อซิมเปล่า + บัตรเติมเงิน
บางที่ก็ไม่มี Starter Kit ขาย แต่จะมีขายแค่ซิมการ์ดเปล่าราคา $9.99 ก็สามารถซื้อมาใช้ได้เช่นกัน แล้วค่อยซื้อบัตรเติมเงินเพิ่มเอา ซึ่งปกติจะมีขายโดยทั่วไปอยู่แล้ว ที่ที่มีซิมการ์ดเปล่าขายก็น่าจะมีบัตรเติมเงินเช่นกัน โดยบัตรเติมเงินที่นั่นเท่ทีเดียว มีทั้งแบบ Fix ราคาไว้ และมีแบบที่สามารถกำหนดได้ว่าจะเติมเท่าไหร่ ดูจากแพคเกจได้เลย ถ้าซื้อแบบที่กำหนดจำนวนเงินได้ก็บอกทางแคชเชียร์ว่าจะเอาเท่าไหร่ บัตรเติมเงินใบนั้นๆก็จะมีค่าเท่านั้นโดยทันที สะดวกดี
ข้อควรระวังของการซื้อซิมการ์ดคือ ดูให้เรียบร้อยด้วยว่าเป็น Nano SIM หรือ Micro SIM ไม่งั้นเปลี่ยนคืนไม่ได้นะเออ ปกติหน้าแพคเกจจะมีเขียนไว้อยู่แล้วว่าเป็นไซส์ไหน
การ Activate
สามารถทำด้วยตัวเองได้หลังจากเสียบซิมเข้าไปในมือถือ โดยสามารถทำผ่านหน้าเว็บ T-Mobile Activation โดยจะต้องใช้ข้อมูลสามอย่างด้วยกัน
1) Activation Code (มาพร้อมซิมการ์ด)
2) SIM Card Number (มาพร้อมซิมการ์ด)
3) IMEI มือถือ
ขั้นตอนการ Activate มีดังนี้
1) ระบุโค้ดทั้งสามตัวด้านบนและใส่ข้อมูลรายละเอียดส่วนตัวบนหน้าเว็บ Activation สุดท้ายจะได้เบอร์โทรมา
2) เลือกแพคเกจที่จะใช้งาน (มีให้เลือกบนหน้าเว็บ Activation)
3) ระบบจะบอกว่าเงินไม่พอ ก็ให้เติมเงินเข้าไปด้วยบัตรเติมเงิน
หลังจากเติมเงินเสร็จก็จะได้ SMS ยืนยันแพคเกจ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ใช้เนตได้แล้วจ้า !
การเดินทางภายใน San Francisco - San Jose
การไปซานฟรานฯครั้งนี้เราต้องการจะเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตที่นั่นด้วย เราเลือกใช้การเดินทางแบบไม่สปอยล์ ก็คือใช้ของที่คนท้องถิ่นใช้กันนั่นแหละ
เลยถามคนท้องถิ่นว่าปกติเดินทางใช้อะไรกัน?
"Uber Uber Uber Uber Uber"
เดี๋ยวสิ! -_-
ที่โน่นคนทำงานสายไอทีจะใช้ Uber กันรัวๆเพราะเมื่อเทียบกับรายได้แล้วถือว่าจ่ายได้ แต่สำหรับเรา เราจ่ายไม่หวายยย ดังนั้นก็เลยใช้ขนส่งสาธารณะปกติอื่นๆทั่วไปครบเลย จะลิสต์ให้ดูครับว่าใช้อะไรได้บ้าง ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ จ่ายยังไงและสะดวกแค่ไหน =)
แต่ก่อนอื่นขอพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในการเดินทางก่อนอย่าง Clipper Card
ที่นี่ขนส่งสาธารณะจะสามารถจ่ายเงินได้ง่ายๆร่วมกันด้วยบัตรเดียว โดยบัตรที่ว่าก็คือบัตรที่ชื่อว่า Clipper Card นี่แหละ สามารถใช้ขึ้นรถเมล รถไฟฟ้าและรถไฟได้น่าจะทุกประเภท ซื้อได้ที่ Walgreen ที่มีอยู่โดยทั่วไปทั้งเมืองในราคา $3 ครับ และหากต้องการเติมเงินเริ่มต้นเท่าไหร่ก็บอกทางแคชเชียไป เค้าก็จะเติมให้และใช้งานได้ทันที
ส่วนการเติมเงินใน Clipper Card สามารถเติมได้ที่สถานี BART ทุกสถานี ทำได้ง่ายๆไม่ต้องสอน ไปจิ้มหน้าตู้อัตโนมัติกันได้เลย
เอาหละ เมื่อ Clipper Card พร้อม เรามาดูขนส่งสาธารณะกันทีละอันเลย
BART (Bay Area Rapid Transit)
อันนี้เคยพูดถึงด้านบนไว้แล้ว BART ก็คือรถไฟฟ้าที่วิ่งไปมาแถว Bay Area ทั้งฝั่ง West Bay และ East Bay (แผนที่ด้านล่างตรงกับแผนที่จริง ดังนั้นดูตามพิกัดได้เลยว่ามันวิ่งผ่านแถวไหนบ้าง) ซึ่งมันจะเอาไว้ใช้วิ่งกันในเมืองไม่มีออกนอกเมืองครับ
โดย BART จะมีด้วยกัน 5 สาย แต่เส้นทางก็ซ้อนกันราว 50% ตามภาพด้านบน เวลาขึ้นจากสถานีทับซ้อนก็ดูดีๆว่ารถคันไหนจะไปที่ไหน ไม่งั้นอาจจะโผล่ผิดที่ได้ และมีบางเส้นที่วิ่งเฉพาะบางเวลา แต่ก็ไม่ยากอะไร มีเขียนไว้ในแผนผังการเดินรถด้านบนเรียบร้อย
การเดินทางด้วย BART นี้สะดวกมาก เรียกว่าผ่าน San Francisco อย่างครอบคลุม แต่ก็ไม่ได้ทุกพื้นที่ ที่นี่ขนส่งสาธารณะทำมาค่อนข้างดี หากจะไปที่ไหนก็ให้ลงสถานี BART ที่ใกล้ที่สุดแล้วต่อรถเมล์หรือ Uber เอา จะเป็นท่าที่ใช้กันปกติครับ
ค่าใช้จ่ายของ BART จะเป็นอัตราตามระยะทาง สถานีห่างกันหน่อยก็แพงหน่อย สถานีใกล้กันหน่อยก็ถูกหน่อย ที่เห็นก็น่าจะเริ่มต้นที่ $1.85 และไปสุดที่ $7.50 มั้ง แต่โดยเฉลี่ยหากเดินทางภายในเมืองฝั่ง West Bay ก็จะจ่ายรวมๆ $4-$5 ต่อเที่ยวครับ ซึ่งถือว่าแอบสูงนิดหน่อย แต่ที่นี่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็สูงแบบนี้แล
วิธีการซื้อบัตรก็สามารถหยอดเหรียญที่ตู้ตรงสถานีได้ ไม่ยากๆ แต่ถ้ามี Clipper Card ก็แปะเข้าแปะออกได้เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราครับ
ตารางการเดินรถสามารถเช็คได้จาก Google Maps หรือจากเว็บของ BART เองครับ ที่นี่เวลาตรงเป๊ะมาก นานๆทีจะมีดีเลย์แต่ก็แค่ 1-2 นาที แล้วก็จะปรับกลับมาตรงในเวลาอันสั้นครับ หากบอกว่าจะมาเวลากี่โมงก็ให้ไปถึงให้ตรงเวลาแล้วก็จะไม่พลาดแผนชีวิตครับ
Caltrain
รถไฟฉึกฉักปู๊นปู๊นนนน เป็นรถไฟใหญ่ยักษ์เหมือนรถไฟในบ้านเพียงแต่ไม่ได้เก่าระดับสมัยร.5 เท่านั้นเอง
Caltrain เป็นรถไฟที่เน้นวิ่งระยะไกล วิ่งออกนอกเมืองหรือข้ามเมืองได้สบายๆ สามารถวิ่งจาก San Francisco ไปจนถึง San Jose ได้เลย ในขณะที่ BART จะเป็นรถไฟฟ้าที่เอาไว้วิ่งในเมืองเท่านั้น
ถามว่านอกเมืองมีอะไร? คำตอบคือ Google, Facebook, Apple, Stanford ฯลฯ ล้วนอยู่ทางด้านใต้ของเมือง San Francisco มาทาง San Jose ทั้งสิ้น หากอยากจะใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อมาสถานที่เหล่านี้ก็ต้องใช้บริการ Caltrain นี่แหละครับ อันนี้เป็นแผนที่การวิ่งของ Caltrain
การจะขึ้น Caltrain ต้องเช็คตารางเวลาก่อนทุกครั้งซึ่งจะมีอยู่บนเว็บ Caltrain Timetable หรือจะเช็คจาก Google Maps เลยก็ได้ มันมีบอกให้อยู่ (ก็นี่มัน Silicon Valley นะ) สำคัญมากๆนะ เพราะรถไฟที่นี่ตรงเวลามาก หากพลาดไปก็รอไปอีกนานเลย
ข้อควรระวังของการนั่ง Caltrain คือมันมีรถไฟบางขบวนที่จอดเฉพาะบางสถานีวิ่งอยู่ด้วย (Limited-Stop กับ Baby Bullet หรือจากภาพด้านบนคือแถบสีเหลืองกับสีชมพูตามลำดับ) หากจะขึ้นคันไหนให้เช็คตารางการเดินรถให้ดีก่อน มิฉะนั้นหากเราอยากจะลงสถานีที่มันไม่จอดก็วอดวายได้ แต่ถ้าโชคดีว่าขบวนๆนั้นเป็นขบวนด่วนและจอดตรงสถานีที่เราต้องการพอดี ก็ขึ้นคันนั้นเลยเพราะจะเร็วกว่ามากๆ ราคาเท่าเดิมด้วย
การคิดราคาจะคิดเป็นโซนตามเส้นแบ่งโซนด้านบน หากวิ่งภายในโซนเดียวกันจะราคานึง หากมีการข้ามโซนก็จะอีกราคานึง เพิ่มขึ้นโซนละ $2 หากข้ามหลายโซนก็จะเพิ่มราคาไปตามลำดับ เป็นการเพิ่มราคาแบบขั้นบันไดนั่นเอง โดยมีตั๋วให้ซื้อแบบ One-Way ที่จะนั่งไปเที่ยวเดียวไม่คิดจะกลับ สามารถใช้ได้ภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากซื้อตั๋ว และ Day Pass ที่สามารถนั่งไปกลับระหว่างโซนที่ซื้อตั๋วได้แบบไม่จำกัดภายในหนึ่งวัน นั่งเป็นสิบเที่ยวก็ได้ ใช้ชีวิตบนนั้นเลยก็ได้ เอาที่สบายใจ
ตั๋วตรงนี้สามารถซื้อได้ที่สถานี Caltrain มันจะมีตู้ให้เลือกโซนที่ต้องการ ประเภทของตั๋วและหยอดเหรียญเพื่อซื้อได้เลยง่ายๆ สุดท้ายจะได้เป็นตั๋วออกมาแบบนี้
นอกจากนี้หากเดินทางแบบ One-Way ยังสามารถจ่ายด้วย Clipper Card ได้ด้วย โดยกรณีนี้ไม่ต้องไปซื้อตั๋ว แต่เอาบัตรไปแปะที่แท่นได้เลย จะไม่ได้เป็นตั๋วออกมาแต่ไม่ต้องกลัว ใช้ Clipper Card แทนตั๋วได้เลย ข้อดีคือราคาจะถูกลง $0.50 ด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นมันจะตัดก่อน $10.75 เหรียญตอนแปะ ไม่ต้องตกใจ แค่อย่าลืมแตะตอนขาลงด้วย ไม่งั้นก็จะต้องจ่ายราคานั้น แต่ถ้าแตะมันจะ Refund ส่วนต่างคืนมาให้ครับ สำคัญนะเออ ไม่ใช่น้อยๆ
ทั้งนี้ สถานี Caltrain เป็นสถานีรถไฟแบบรถไฟ้รถไฟ ไม่มีที่กั้นเข้าชานชาลาเหมือนรถไฟฟ้า ดังนั้นมันเลยเป็นพื้นที่เปิด จะมั่วนิ่มเดินขึ้นรถไฟเลยก็ทำได้
การตรวจตั๋วจะเป็นการตรวจแบบสุ่มโดยเจ้าหน้าที่ภายในรถ นานๆจะมีคนเดินมาตรวจตั๋วสักทีนึง ก็ยื่นบัตรไปให้เค้าดู ซึ่งจริงๆมันก็เหมือนในรถไฟไทยนั่นแหละ จากที่นั่งมา 10 รอบเห็นจะได้ ก็โดนตรวจไปแค่ 3 รอบเท่านั้นเอง แต่นี่ไม่ใช่การชี้โพรงให้กระรอกนะ บอกไว้เพื่อให้ไม่ตกใจว่าทำไมซื้อตั๋วแล้วถึงไม่มีคนมาตรวจ จะได้เข้าใจระบบ ถึงเวลาจริงอย่าขี้โกง ให้ซื้อตั๋วทุกครั้ง เพราะหากไม่ยอมซื้อแล้วโดนจับได้ มันไม่สนุกหรอกนะ =)
รถไฟมีหลายแบบ ข้างในก็ดูดี ข้างนอกก็ดูวิวไปแบบเพลินๆ
โดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็บานอีกเช่นกัน 555 แต่ถ้านับเป็นระยะทางเราว่ามัน Make Sense มากเลยนะ เร็วดีด้วย
รถเมล์
รถเมล์หรือที่ซานฟรานฯเรียกว่า MUNI ก็เป็นอีกหนทางที่ใช้กันโดยปกติสำหรับชนชั้นกลางและทั่วถึงทั้งเมืองด้วย
ป้ายรถเมล์ครอบคลุมทั่วเมืองมาก
ค่าใช้จ่ายก็โอเคเลย $2.25 ตลอดสายเท่านั้นเอง
วิธีการซื้อตั๋วคือ ถ้าจ่ายด้วยเงินสดก็สามารถเดินขึ้นประตูหน้าและหยอดเงินลงเครื่องได้เลย $2.25 ระวังไว้ด้วย เตรียมเงินให้พอดีเพราะเครื่องไม่มีทอนเงินนะจ๊ะ ! แล้วจะได้เป็นตั๋วหน้าตาคลาสสิคยาวๆมา
หรือถ้าใช้ Clipper Card ก็แปะได้เลยยยย โดยแปะขาขึ้นก็พอ (กรณีนี้จะไม่มีตั๋ว)
โดยการซื้อตั๋วหรือแตะบัตรขึ้น 1 ครั้ง เราจะสามารถนั่งรถเมล์เปลี่ยนสายอะไรก็ได้เป็นเวลา 90 นาทีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ดังนั้นหากวางแผนดีๆก็จะจ่ายค่าเดินทางน้อยมากๆครับ
เรื่องสายรถเมล์ ป้าย เวลา ฯลฯ ไม่ต้องไปดูที่ไหน Google Maps เลยจ๊ะ ! ชีวิตดีย์ ขึ้นๆลงๆสะดวกมาก ปลอดภัยด้วย =)
Golden Gate Bus Transit
Muni จะวิ่งแค่ภายในเมือง San Francisco เท่านั้น และจะไปไม่ถึงสะพาน Golden Gate ถ้าอยากจะไป Golden Gate จะต้องต่อรถอีกเมล์อีกแบบซึ่งหน้าตาเหมือนกันแต่มันเป็นคนละแบรนด์นะ และราคาต่างกันด้วย รถเมล์สายนี้เรียกว่า Golden Gate Bus Transit เอาไว้วิ่งข้ามเมือง วิ่งไปได้ถึง Santa Rosa โน่นนนน นี่เป็นความแตกต่างระหว่าง Muni และ Golden Gate Bus Transit ถ้าคุณกดที่ Google Maps ดู
ค่าใช้จ่ายจะคิดเป็นโซนๆ ถ้าวิ่งภายใน San Francisco ก็จะจ่าย $4.75+ แล้วก็เพิ่มไปตามโซนเหมือน Caltrain
ที่ต้องบอกไว้เพราะวิธีการจ่ายเงินจะต่างกันนิดหน่อย หากคุณแปะด้วย Clipper Card คุณจะโดนตัดทันทีด้วยเรทสูงสุด $10 และต้องแปะตอนลงด้วย เพื่อให้มัน Refund ส่วนต่างกลับมา ไม่งั้นเสียฟรีมหาศาลเลย
Uber/Lyft
ที่ San Francisco ใช้ Uber กันเป็นปกติมากกกกก และคนขับก็มารยาทดีมาก
สามารถดูค่าใช้จ่ายโดยประมาณของ UberX จาก Google Maps ได้เลยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของ Uber ก็โหดใช่เล่น ระยะสั้นๆก็ปาเข้าไป $10 แล้ว ดังนั้นหากไม่ได้มีเงินเหลือเฟือหรืออยากประหยัดเงิน ก็พยายามใช้ Uber ในระยะสั้นๆก็พอ แล้วใช้ร่วมกับขนส่งแบบอื่น แต่ถ้ามีเงินเหลือเฟือหรืออยากประหยัดเวลา เตรียมเงินไว้สักหมื่นแล้วเรียก Uber รัวๆเลยก็ได้ครับ ก็สะดวกดี
และก็นะ ถ้าเกิดไปกันหลายคน (สัก 3 คนกำลังดี) การเรียก Uber อาจจะถูกพอๆกับการใช้ขนส่งอื่นๆรวมกันทั้งวันหรืออาจจะแพงกว่าเพียงเล็กน้อย ยังไงก็คำนวณดูครับ แล้วแต่ระยะทาง =)
นอกจาก Uber แล้วก็ยังมี Lyft ที่โดยเฉลี่ยจะถูกกว่า Uber นิดหน่อย และด้วยตอนนี้กำลังพยายาม Growth Hacking อยู่ ทำให้มี Free Ride $10 ให้ตั้ง 5 เครดิต จิ้มกันสนุกอ่ะครับ
แต่พอลองจิ้มๆแอปดูแล้วก็รู้สึกว่าทำมาไม่ค่อยดี ไม่มี Fare Estimator (ฟีเจอร์คำนวณค่าใช้จ่ายโดยประมาณ) ทำให้ต้องลุ้นเอาว่าจะเท่าไหร่ แต่จากปากผู้ใช้งานเห็นว่าราคาถูกกว่า Uber ราวๆ 20% นะ แล้วระบบก็ห่วยด้วย ตอนเราพยายามจะใช้ก็ขึ้น Error ตลอด สุดท้ายเลยไม่ใช้ ใช้แต่ Uber
เช่ารถขับ
ข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไปเที่ยว San Francisco คือในรัฐ California เราสามารถใช้ใบขับขี่ไทยในการขับรถที่นั่นได้ด้วย และค่าเช่ารถที่นั่นก็ราคาโอเคมากด้วย หากไปสัก 2-3 คนเราว่าคุ้มเลยกับการเช่ารถขับ เพราะที่นั่นเดินทางแอบลำบากครับ มีรถแล้วจะสะดวกขึ้นเยอะมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น
ข่าวร้ายคือรถที่นั่นต่างจากไทยนิดหน่อยคือเป็นพวงมาลัยซ้ายและเลนขวา ทำให้ต้องปรับตัวนิดหน่อย ไม่งั้นมีมึน
ค่าใช้จ่ายที่อาจจะเพิ่มขึ้นคือค่าที่จอดรถ บลาๆๆ และที่นั่นก็โดนทุบรถกับเป็นปกติ ดังนั้นควรระวังเรื่องพวกนี้ไว้ด้วยครับ (ตอนเช่ารถมีประกันให้เลือก ลองเลือกดู)
ไปดูวิธีการเช่ารถจากเว็บ 2baht ได้เลยครับ เขียนไว้ละเอียดเลย
จักรยาน
เมืองนี้ขับรถปลอดภัยมาก รถทุกคันหยุดให้คนข้าม รถให้เกียรติคนเดินเท้า คนก็ให้เกียรติสัญญาณไฟ ทำให้การขี่จักรยานในเมืองนี้จึงปลอดภัยมากและผู้คนก็ใช้มันเป็นยานพาหนะหลักภายในเมืองเลย โดยมีรถจักรยานให้เช่าอยู่ตามริมถนนตามจุดสำคัญๆ
อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเขา มีการขึ้นลงของถนนตลอดเวลา ทำให้การปั่นจักรยานอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็สนุกและสะดวกดี
และเนื่องจากรัฐที่นี่ใส่ใจในคุณภาพชีวิตคน เลนจักรยานจึงมีอยู่ทุกที่ แถมบางที่ยังมีไฟเขียวไฟแดงสำหรับจักรยานด้วย
แต่จักรยานก็เหมาะกับการขี่ในเมืองเท่านั้น หากเริ่มออกนอกเมืองไปแล้วจักรยานก็จะเริ่มไม่เหมาะละ
และก็เท่าที่ถามคนท้องถิ่น เห็นว่าจักรยานต้องอยู่กับตัวเสมอไม่งั้นหายได้ ถ้าใช้บริการพวกที่หยอดเหรียญแล้วเช่าแล้วก็ไปคืนในอีกจุดนึงก็สะดวกดีครับ
ที่เหลือให้คำแนะนำไม่ได้เพราะทริปนี้ไม่ได้ขี่เลย >__<
เดิน
ซานฟรานฯเป็นเมืองเล็กๆและอากาศดีแถมยังเจริญแล้ว ทุกที่จึงสามารถเดินถึงกันได้หมด ทางเท้ากว้างใหญ่และไม่มีมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาวิ่ง! ร้านข้างทางก็ไม่ได้เยอะและกินพื้นที่จนเดินไม่ได้ ดังนั้นการเดินในเมืองนี้จึงสะดวกมากๆถึงแม้ระยะทางจะไกลก็ตาม
รถที่นี่หยุดให้คนข้ามถนนตลอด หรือถ้าเป็นถนนใหญ่ก็จะมีไฟเขียวสำหรับคนเดินด้วย ทุกอย่างเป็นระบบมากๆ และทุกคนก็เคารพกฏจราจรอย่างเคร่งครัด
หากส่วนไหนมีการซ่อมถนนก็จะมีคนมาคอยยืนให้สัญญาณอีกด้วยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ก็โน้ตไว้นิดนึงว่าเนื่องจากที่นี่เป็นภูเขา ดังนั้นมีการขึ้นและลงแบบชันมากให้เห็นอยู่เรื่อยๆ หากยังไม่เชี่ยวพื้นที่ให้เปิด Google Maps ครับ มันจะพาไปทางที่เดินแล้วเหนื่อยน้อยกว่าถึงแม้ระยะทางจะมากกว่าก็ตาม เท่าที่ลองทำตามดูก็โอเคเลย ต้องปรับลอจิคจากตอนที่ใช้ในกรุงเทพฯนิดนึง มันมีเรื่องความชันมาเกี่ยว ^^"
แต่การเดินที่นี่ไม่ได้ปลอดภัยไปซะหมดนะ เนื่องจากเมืองนี้ก็มีอาชญากรรมอยู่เรื่อยๆ และมีบางโซนที่ห้ามไป เช่น Tenderloin ที่มีการต่อยกันยิงกันทุกวัน หากจะเดินต้องศึกษาด้วยว่าตรงไหนเดินได้และตรงไหนไม่ควรเดินครับ และอีกอย่างคือตอนเดินต้องมีสตินะ ระวังหน้าระวังหลังเสมอ อาจจะมีคนล้วงกระเป๋าหรือขโมยของได้ เมืองนี้ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้นครับ แต่ถ้าระวังตัวก็น่าจะโอเคระดับนึง
อีกเรื่องคือ ตอนกลางคืนห้ามเดินคนเดียวครับ แต่กลางวันยังพอได้อยู่
Google Maps คือทุกสิ่ง
จบเรื่องการเดินทางภายในแต่เพียงเท่านี้ สิ่งหนึ่งที่จะบอกว่าขาดไม่ได้เลยกับการเดินทางภายในซานฟรานฯคือ Google Maps ครับ
เมืองนี้เป็นที่อยู่ของ Apple, Google, Facebook และบริษัทไอทียักษ์ใหญ่มากมาย หาก Google Maps ใช้ที่นี่อย่างสมบูรณ์ไม่ได้แล้วที่ไหนจะใช้ได้หละ
หากอยากจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม เปิด Google Maps ให้มันพาไปได้เลยครับ
ชีวิตใน San Francisco
ไปที่นู่น 8-9 วัน แต่ได้ใช้ชีวิตแบบปล่อยฟรีจริงๆคือราวๆ 3-4 วัน แต่ก็ใช้คุ้มหละเพราะไปซะทั่วเลย อยากเรียนรู้วิถีชีวิตๆ
หลักๆ San Francisco ก็เป็นเมืองเล็กๆเมืองนึงที่มีทั้งส่วนใจกลางเมือง โซนชานเมือง สวนสาธารณะ ฯลฯ เพื่อให้ดูง่าย ขอแบ่งเป็นเรื่องๆให้ดูละกันโนะ มันมีหลายเรื่องอยู่
ชานเมืองและนอกเมือง
ชานเมืองและนอกเมืองรวมถึง Silicon Valley จะไม่มีอะไรมากมาย ส่วนใหญ่จะเงียบๆ ตึกและบ้านหลังเตี้ยๆไม่เกิน 1-2 ชั้นทั้งสิ้น และบ้านเมืองก็เต็มไปด้วยต้นไม้ อากาศดี ร่มรื่นสดชื่นมาก มลพิษนี่ไม่มีเลย
ชีวิตนอกเมืองค่อนข้างเรียบง่ายและปลอดภัย เหมาะกับการอยู่อาศัยและพักผ่อน ถ้ามาที่นี่เราไม่ค่อยแนะนำให้นอนในเมืองเท่าไหร่ มันวุ่นวายและดูอันตราย มานอนชานเมือง (Southern San Francisco) มาๆ เวอร์ค เชื่อเนย ขอแค่ให้อยู่ใกล้ BART หรือ Caltrain แบบเดินได้ก็พอ
กลางเมือง
ขยับเข้ามาในเมืองบ้าง ในเมืองที่นี่ก็วุ่นวายขึ้นมาพอสมควร ตึกสูงมีให้เห็นเยอะ แต่สิ่งที่หายากมากคือสายไฟฟ้า ... ยัดลงใต้ดินเกือบทั้งเมืองละ ทุกอย่างเลยดูปลอดโปร่งโล่งสบายหายใจสะดวก
ในเมืองมีอะไรให้เดินเล่นหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์โน่นนี่ แต่ที่นี่ไม่มีห้างนะ ก็จะเป็นตึกนึงร้านนึงไปเลย
แล้วก็จะมีบางอาคารที่สวยๆให้เดินผ่าน ... เดินผ่านไปไวๆเลย เช่นอาคารนี้ City Hall (BART สถานี Civic Center) เป็นบริเวณที่มี Homeless อยู่เยอะ ถ้าไปกลางคืนคือโดนปล้นแน่นอน แต่ไปกลางวันยังพอไปได้ เลยแว้บไปถ่ายรูปมาเล่นๆ
ชีวิตในเมืองค่อนข้างอันตราย พระอาทิตย์ตกนี่ก็เริ่มเจออะไรแปลกๆ หลักๆคือ Homeless ส่วนนึงจะรังควาญคนอื่น ไม่ได้อยู่แบบเงียบๆ รวมถึงบางทีก็ประท้วง ที่เคยเจอก็แบบจะเดินเข้ามาต่อยคนเดินสวน ดูแล้วน่าจะเมายาแหละ และก็เคยเจอลงไปตะโกนในรถไฟฟ้าเพื่อขอของกิน
หลังจากเจอเหตุการณ์พวกนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยอยากเข้าเมืองเท่าไหร่เลยนอกจากจะจำเป็นจริงๆ
สวนสาธารณะ
สิ่งที่ชอบมากกกกกกจนอยากร้องไห้คือสวนสาธารณะที่นี่ เป็นอะไรที่ใหญ่และทำจริงจังมากกกก ถึงรัฐจะเก็บภาษีเยอะ แต่ก็ได้พวกนี้มาถือว่าคุ้มมากอ่ะ ไม่เหมือนบางประเทศที่จ่ายตั้งเยอะแต่คุณภาพชีวิตแย่ลงเรื่อยๆ ...
ที่เราไปมามีอยู่สองที่คือ Golden Gate Park ซึ่งใหญ่มหาศาลมาก และข้างในก็มีอะไรให้เดินเล่นอีกเพียบ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวและเป็นที่ Chill Out สำหรับคนท้องถิ่นเลยหละ
อีกที่ที่ไปคือบริเวณชายหาดตั้งแต่สะพาน Golden Gate ยาวไปถึง Pier 39 (ด้านบนสุดของฝั่ง West Bay) ซึ่งเป็นถนนที่ถูกสร้างมาไว้ให้ออกกำลังกายริมชายฝั่ง จะบอกว่าตรงนี้บรรยากาศดีมากกกกก มันยอดเยี่ยมมาก มาก มาก มาก มากกกกก
มันเจ๋งจนเราเดินเอาตลอดแนวเลย ใช้เวลาเดิน 3-4 ชั่วโมงเห็นจะได้ ได้ชมเมืองสมใจอยากเลย มีหอบบ้างเล็กน้อย แต่โชคดีที่อากาศดีก็เลยเดินสบายและได้ชมทุกอย่างสมใจ =)
เราเชื่อว่าคนมาเที่ยว San Fran น่าจะมีน้อยคนที่เดินเล่นตรงส่วนนี้ แต่ไม่รู้ดิ หลังจากเราลองเดินเองแล้ว อยากแนะนำให้เดินเลาะชายฝั่งตรงนี้ดู มี Landmark ให้แวะหลายจุดเลยด้วย มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีจริงจัง =)
ถามว่าตลอดแนวมีทำอะไรกันบ้าง? ก็มีครบเลย ขี่จักรยาน วิ่ง แคมป์ปิ้ง รักบี้ รำไทเก๊กและก็ไม่มีร้านรวงอะไรมากวนใจ ทุกอย่างเป็นไปแบบมีระเบียบมาก ถ้าเป็นเมืองไทยคงไม่มีอารมณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่ๆ
หาเวลามากันนะๆ เริ่มต้นเดินจาก Golden Gate Bridge ไปจบที่ Pier 39 เดินได้หมด มีถนนกว้างๆสำหรับคนเดิน =)
แหล่งท่องเที่ยว (Landmark)
ซานฟรานฯเป็นเมืองเล็กๆแต่ก็มี Landmark ให้ไปเยี่ยมเยือนหลายที่อยู่ ที่แรกคือ Golden Gate Bridge อันนี้ถ้าไม่ไปถือว่าบาป !
เดินเลาะมาทางขวาตามแนวชายฝั่งต่ออีกหน่อย สัก 20-30 นาที ก็จะถึง Palace of Fine Art อันนี้ต้องแวะๆ สวยๆ
ถัดจากนั้นอีกไม่ไกลจะมีโรงงานช็อกโกแลตชื่อดังของเมืองนี้อย่าง Ghirardelli ก็เดินเข้าไปเยี่ยมชมและซื้อของได้ ไม่ได้ถูกกว่าข้างนอกหรอกนะ แต่ก็ได้บรรยากาศ
จากนั้นก็เดินยาววววจนถึง Fisherman Wharf ซึ่งจะเริ่มมีตลาดและของขายให้เห็นเพราะมันเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วนั่นเอง
สิ่งที่ชอบมากตรงนี้คือมันมีลานกิจกรรมให้คนมาแสดงอะไรก็ได้ตลอดแนว ซึ่งบ้านเราคงต้องไปแอบทำกันตรงรถไฟฟ้าสนามกีฬาฯ ...
แล้วก็เดินต่ออีกหน่อยก็จะถึงจุดสำคัญอย่าง Pier 39 ซึ่งคนกรุงเทพฯน่าจะคุ้นกับป้ายนี้บน Terminal 21 นั่นเอง
ตรง Pier 39 นี้มีของให้เล่นเยอะทีเดียวเช่นโซนอาบแดดของสิงโตทะเล ซึ่ง ... เหม็นมากกกก
แล้วก็มี Market ให้เดินเล่นด้วยครับเป็นทางยาวๆและมีของให้แวะเยอะมาก คล้ายๆ Asiatique บ้านเรา แต่อารมณ์จะไปทางกะลาสีเรือกว่า
มีที่เจ็ดเรือยอ.... ผิดๆๆๆ มีที่จอดเรือยอร์ชด้วย จะว่าสวยก็สวย จะว่ารกก็รก ...
ตรงนี้จะมีอัลคาทราซให้มองเห็นแบบไกลๆด้วย ซึ่งจริงๆใครจะไปก็ไปได้นะ แต่ต้องจองตั๋วไว้ก่อน เพราะคนไปเยอะมากกก (รายละเอียดไม่รู้แฮะ ไม่ได้สนใจจะไปเลยไม่ได้ศึกษาไว้)
ด้านล่างของ Pier 39 จะมี Lombard Street ที่เป็นถนนดอกไม้คดๆ หากมีโอกาสก็แวะไปดูได้ครับ เผอิญเราลืมก็เลยไม่ได้แวะไปถ่ายรูปเลย ... ฮือออ
จากนั้นก็มี Landmark ที่อื่นอีก เช่นในสวนสาธารณะ Golden Gate Park ตามที่ลงภาพไว้ด้านบนนั่นเอง ในนั้นจะมีพิพิธภัณฑ์และที่ถ่ายรูปเยอะเลย แนะนำให้เข้าไปๆ หากขี้เกียจเดิน มีรถเมล์เข้าไปด้วยๆ
ที่อื่นก็มีอีกหลายที่แต่ก็คงต้องเลือกตามรสนิยมและความชอบของแต่ละคนไปครับ ที่สุดท้ายที่เราแนะนำมา ณ ที่นี้ว่าถ้ามีโอกาสก็แวะไปสักการะบูชาดูได้ครับ ...
#บาป
ร้านสะดวกซื้อ
หากอยากซื้อคงซื้อของทั่วไปจะซื้อที่ไหน?
ก็มีอยู่หลายแบรนด์เหมือนกันนะสำหรับร้านสะดวกซื้อ แต่ที่ไปกันบ่อยๆคือ 7-Eleven, Walgreen และ Safeway ซึ่งมีอยู่ทุกที่และของถือว่าราคาโอเคเลย สามารถจิ้มหาจาก Google Maps ได้ หาได้ง่ายพอสมควร
นอกจากนั้นก็มีพวกร้านขายของชำอยู่ประปราย ใครบอกว่าผลไม้ที่นี่แพง ไม่จริงเหอะ ราคาโอเคมาก อย่างนี่ Blackberry ราคา $4
อยู่นั่นใช้ชีวิตง่ายครับ ถึงจะไม่ได้มีร้านอาหารทุก 3 ก้าวเหมือนในไทยก็ตาม
ค่าครองชีพ
ค่าครองชีพที่นี่ต้องถือว่าสูงพอตัวเลย หนักที่สุดจะอยู่ที่ค่าที่พัก ตกต่อห้องก็ $2,500 ถ้ามี Roommate ก็หารครึ่งไป ซึ่งก็ยังสูงมากอยู่ดี
ค่าเดินทางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แพงมาก อย่างที่เราไปนี่วันนึงเสียไปเป็นสิบดอลล์ต่อวันเลย ขนาดเลือกทางที่ประหยัดๆแล้วนะ
ที่เหลือ ค่าอาหารถือว่ารับได้ หากซื้อเค้ากินก็คงแพงเพราะมีทิปที่ต้องจ่ายด้วย 15% (จ่ายต่ำกว่านี้โดนมองหน้า) แต่ถ้าทำอาหารกินเองจะถูกมาก
สำหรับอาหารที่ราคาถูกมากๆที่เห็นก็จะเป็นพวกพิซซ่า ชิ้นละเหรียญไรงี้ ก็จะประหยัดเงินไปได้ระดับนึง แต่กินทุกวันก็ไม่ไหว เบื่อ
ส่วนค่าน้ำก็แพงอีก น้ำที่นั่นเวลาซื้อควรซื้อขวดใหญ่ไปเลย $2-3 ไรงี้ เพราะขวดเล็กมันถูกกว่าขวดใหญ่นิดเดียวเท่านั้นเอง
สรุปแล้วอาหารแบบทั่วไปโดยเฉลี่ยจะเสียประมาณมื้อละ $5-$10 ครับ แต่ถ้าใช้ชีวิตที่โน่น การทำเองจะถูกลงไปครึ่งนึงเลย
โดยรวมแล้วค่าครองชีพสูงกว่าไทยพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับอัตรารายได้แล้ว เราพูดได้เลยว่าค่าครองชีพที่ไทยสูงพอกันก็ไม่สูงกว่าละ ... แค่ที่ไทยได้เปรียบตรงทางเลือกเยอะกว่า
ถ้าไปทำงานที่นั่นก็น่าจะมีเงินเหลือสบายๆครับถึงแม้ค่ากินอยู่จะสูงนิดนึงก็ตาม
ความปลอดภัย
ที่นั่นไม่ได้ปลอดภัยครับ มีครบทุกอย่าง ขโมย ปล้น ทำร้ายร่างกาย ยิง วิ่งราว ทุบรถ กลางคืนห้ามเดินคนเดียว ฯลฯ ทั้งนี้เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงปรี้ดจนผลักให้คนต้องหาเงินเพื่อประทังชีวิตในเมืองอันโหดร้ายนี้นี่เอง
การใช้ชีวิตที่นั่นเลยต้องคอยดูแลตัวเองและระวังตลอดเวลา อัตราการเกิดอาชญากรรมล่าสุดตอนนี้ยังสูงกว่ากรุงเทพฯเล็กน้อยครับ แต่เล็กน้อยจริงๆ อย่างไรก็ตาม Crime Index ตอนนี้ก็ลดลง(ปลอดภัยขึ้น)อย่างต่อเนื่อง ตรงข้ามกับกรุงเทพฯที่อันตรายขึ้นเรื่อยๆและคาดว่าจะแซงซานฟรานฯในปีหน้า
ดังนั้นหาก Survive ในกรุงเทพฯได้ ที่นั่นก็อยู่ได้ครับ แต่ต้องปรับตัวนิดนึงเพราะรูปแบบอาชญากรรมต่างกันนิดหน่อย แต่เรียนรู้ได้ไม่ยาก หลักๆก็อย่าไปที่ที่ไม่ควรไป อย่าทิ้งของไว้ในรถ อย่าเดินกลางคืนคนเดียว ฯลฯ
แต่สิ่งที่ดีคือคนที่นั่นเคารพกฏหมาย ดังนั้นหากเกิดเหตุอะไรก็มีทางออก ไม่ต้องมาคอยลุ้นตำรวจ
การเคารพกฏจราจร
ที่เรารักเมืองนี้สุดๆคือการเคารพกฏจราจร คนที่นี่ขับรถปลอดภัยมากกกกกกก
รถทุกคัน คนทุกคน ปฏิบัติตามสัญญาณไฟกันหมด ใครทำผิดนิดหน่อยผู้คนทั้งสังคมจะหันไปมองประณามด้วยสายตา
นี่พอกลับไทยแล้วรู้สึกว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองของประเทศโลกที่ 6 เลย สามารถตายจากรถได้ทุกที่แม้แต่บนทางเท้า และเห็นค่าของคนเดินเท้าเป็นเพียงคนกากกา แต่ให้คุณค่าของรถเป็นดั่งพระเจ้า
พอไปอยู่ที่นั่นแล้วไม่อยากกลับเลย แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็รู้สึกไม่อยากกลับไทยละ ...
สำหรับบล็อกตอนนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะยาวไป โปรดติดตามตอนต่อไปจ๊ะ บล็อกหน้าจะเล่าเรื่องที่ไปอีเว้นต์และไปเยี่ยมออฟฟิศต่างๆให้ฟัง ^_^