EmQuartier เปิดที มีอะไรมาเล่าให้ฟังรัวๆเลย ของเล่นเยอะดี =)
เมื่อคืนวานก็มีโอกาสได้ไปเจิมโรงหนังใหม่เครือ Major Cineplex ที่เพิ่งเปิดสดๆบน EmQuartier อย่าง Quartier CineArt ชั้น 4 ตึก Waterfall Quartier (ตึกหลัง) เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจดีเพราะ Emporium ที่อยู่ข้างๆกันก็มี Emprive Cineclub ของ SF อยู่แล้ว พอเปิด EmQuartier ก็มีของ Major มาอีก และก็ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองจะยอมอยู่ด้วยกันได้แบบนี้ เร้าใจเลยทีเดียว ก็เลยแอบมาพรีวิวให้ดูกันครับผม ^_^
บรรยากาศชั้นโรงหนัง
Quartier CineArt ถูกวางตัวไว้อยู่ในระดับเดียวกับ Paragon Cineplex ก็คือค่อนข้างวางตัวให้หรูดูดี ด้วยการตกแต่งอารมณ์ของ Art Museum หรือ พิพิธภัณฑ์แสดงศิลปะ แต่เหมือนตอนนี้ยังสร้างไม่เสร็จดี ทุกอย่างเลยดูโล่งๆและยังไม่ได้ความรู้สึกของ Art Museum คงต้องรออีกสักแป๊บนึงถึงจะตกแต่งลงตัว
มีจออะไรสักอย่างวางเรียงให้เล่นเป็นตับ แต่ ... ไม่รู้ว่าคืออะไรจริงๆแฮะ พยายามจิ้มไปสองสามทีแล้วรู้สึกว่ามันใช้ยากก็เลยไม่ได้ใช้ต่อ ยังไงลองไปเล่นกันได้ๆ
โรงหนังพยายามทำ Gimmick ด้วยการเอาหุ่นยนต์ CineRobot มาเล่นกับลูกค้า สร้าง Eye Ball ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ถามว่ามีประโยชน์อะไรในการใช้จริงมั้ย ก็คงบอกว่าไม่ (เลยเรียกว่า Gimmick) แต่อนาคตน่าจะทำอะไรได้มีประโยชน์กว่านี้
ตัวอย่างความสามารถของ CineRobot ก็อย่างเช่น ถ่ายรูปหน้าตัวเอง(หรือใครสักคน) ผ่านกล้องของหุ่นยนต์ แล้วให้หน้าไปอยู่บนหัวหุ่นยนต์ได้ 1 นาที
โหมดที่ชอบสุดคงเป็นโหมด "เดินตาม" ที่สามารถให้หุ่นเดินตามเราไปเรื่อยๆได้ เท่าที่ลองก็ต้องบอกว่าแม่นดีนะ เป๊ะดี =)
ที่เหลือก็เป็นโหมดของเล่นอื่นๆ เช่น เต้นตามเพลง ฯลฯ ลองไปเล่นและถ่ายรูปคู่กันได้ครับ นานๆได้เห็นของน่ารักๆ(สำหรับชาว Geek)แบบนี้ที =)
ประเภทโรงหนังใน Quartier CineArt
Quartier CineArt ถูกวางตัวไว้อยู่ในระดับเดียวกับ Paragon Cineplex มีอยู่ 8 โรงด้วยกัน เป็นโรงพิเศษ 4 โรงได้แก่
AEON Theatre - ตอนไปเค้าฉายหนังอยู่ ก็เลยแอบแว้บเข้าไปดูเงียบๆแล้วก็ชิ่งออกมา ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา (เกรงใจเค้า) โรงนี้เป็นโรงที่หรูที่สุดใน Quartier CineArt เทียบได้กับโรง Blue Ribbon ของ Paragon ซึ่งเป็นโรงราคาแพงรองลงมาจาก Enigma ที่นั่งเป็นเบาะสองเบาะหรือเบาะเดี่ยวสองที่นั่งแล้วแต่ตำแหน่ง อยู่ในคอกขนาดสี่เหลี่ยมสูงเกินหัวกันทั้งซ้ายขวาและด้านหลัง ความเป็นส่วนตัวถือว่าสูงมาก ทำอะไรก็ไม่มีใครเห็นแม้แต่เล่นมือถือก็ไม่รบกวนสายตาคนอื่น
มีคอกอย่างที่ว่าทั้งหมด 4 แถว แถวละ 4 คอก รวมแล้ว 16 คอก 32 ที่นั่ง ราคาที่นั่งเดี่ยวราคาที่นั่งละ 1,000 บาท ส่วนที่นั่งคู่ ราคา 1,800 บาทครับ
จุดเด่นของโรงนี้อยู่ที่ระบบฉายด้วย Premium Laser Projector ที่คมชัดและสว่างกว่าปกติมาก (พิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้ว) และเนื่องจากโรงนี้อยู่ใน Range เดียวกับ Blue Ribbon ดังนั้น ... จึงมีพื้นที่ Lounge สำหรับนั่งกินโน่นนี่ก่อนหนังเริ่มด้วย
และเช่นกัน มีอาหารให้ทานด้วย โดยมีให้เลือก 3 คำ + เครื่องดื่ม 1 ชนิดครับ (ไม่มี Popcorn ให้)
สำหรับคนที่ชอบโรง Blue Ribbon ที่ Paragon Cineplex เนยว่า AEON Theatre น่าจะตอบโจทย์ได้ดีมากครับ (อย่างน้อยก็เนยคนนึงละ ถ้ามีตังค์จะไปดูเรื่อยๆเลย)
SCB First Screen - โรงนี้เป็นโรงที่นั่งธรรมดาแต่เน้นไปที่เสียงระบบ Atmos (ระบบเสียง 4 ทิศทาง 64 ช่องเสียงที่เหนือกว่า 7.1 ไปอีกขั้น) ประกอบไปด้วยที่นั่งราคา 220 และ 240 บาท และแถวด้านหลังขายเป็นคู่ คู่ละ 800 บาท
True Screen X - โรงที่นำเทคโนโลยีเดียวกับโรง 4DX มาฉาย ด้วยความพิเศษของระบบฉายแบบ 270 องศา หรือ ฉายทั้งจอหน้าด้านซ้ายและด้านขวา ... เนื่องจากโรงยังไม่เรียบร้อย เข้าไปดูตอนเค้ากำลังก่อสร้างอยู่ ดังนั้นก็เลยขอไม่เปิดเผยรูปมุมที่มีการก่อสร้างนะครับ เดี๋ยวจะไม่งาม แต่โดยรวมโรงนี้ค่อนข้างเล็ก ประมาณ 7-8 แถวเท่านั้นเอง มีเก้าอี้อยู่สองแบบคือแบบเดี่ยว
และแบบคู่
เครื่องฉายสวยดี
อย่างไรก็ตาม Content ที่จะฉายบนโรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์ยังมีน้อย จะมีก็แต่โฆษณาหรือหนัง 2-3 เรื่อง ดังนั้นตอนใช้งานน่าจะยังเป็นการฉายหนังธรรมดาอยู่ครับ (ไม่ยืนยันนะ ต้องรอดูตอนมันเสร็จแล้ว)
โรงนี้มีการฉายทั้งหน้าซ้ายขวาก็จริง แต่ฝั่งซ้ายขวามีช่องลำโพงอยู่ด้วยนะ ฝั่งละ 3 รูใหญ่ๆ ขวางตาพอสมควรเลย
Toyota IMAX - ชัดเจนว่ามันคือโรง IMAX ... อันนี้เป็นโรงที่เรามาดูหนังในครั้งนี้แหละๆ โรง IMAX ที่นี่มีหน้าตาคล้ายของพารากอนเอามากๆ แต่ขนาดเล็กกว่าและจอเล็กกว่าด้วย แต่สำหรับเราเรารู้สึกว่ามันกำลังดี (ส่วนตัวเป็นคนเกลียดโรง IMAX เพราะมันใหญ่นี่แหละ แต่ที่นี่โอเคเลย)
ระยะห่างแต่ละเก้าอี้สำหรับเราแล้วถือว่านั่งสบาย ไม่ชนข้างหน้าและตอนเอนหลังก็ไม่ชนคนข้างหลัง (แต่เทียบกับ Paragon ไม่ถูกแฮะ เพราะไม่ได้ใช้บริการนานแล้ว)
และถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่มีโอกาสได้ลงไปถ่ายจากจอด้านล่างด้วย ^_^ มุมนี้อยากให้เห็นว่าโรงไม่ใหญ่มากครับ จับจองที่นั่งที่เหมาะสมของท่านได้เลย =)
และอันนี้จากด้านบน
เก้าอี้ที่นี่ก็มีสองแบบเช่นกัน คือเก้าอี้ธรรมดาตามภาพด้านบน และเก้าอี้แบบคู่ในแถวหลังสุดครับ โดยแบบคู่นี้มีผ้าห่มให้ด้วย ส่วนที่อื่นๆไม่มีจ้า
ความเท่ของโรงนี้จริงๆมีตั้งแต่ทางเข้าแล้ว ออกแบบมาเป็นถ้ำแบบเหมือนกำลังจะหลุดไปโลก Avatar
แต่ที่ต้องบอกว่าเท่จริงๆคือ Projector Mapping ด้านขวาที่เห็นเป็นรูปผู้หญิง อันนั้นเจ๋งจริง เป็นการยิง Projector มา Map บนฉากรูปตัวคนขนาดเท่าจริงแล้วเล่นวีดีโอพูดๆๆๆกับเรา เราชอบมากเลยนะอันนี้ เป็นแรงบันดาลใจได้อย่างดี ไม่ดูหนังก็ลองแวะไปดูกันได้ครับ
และ Toyota IMAX นี้ก็เป็นอีกโรงที่มี Lounge แต่ไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไหร่เพราะตั้งอยู่ด้านหน้าข้างนอกซึ่งเป็นพื้นที่ Public เลย
สำหรับแว่นตามีให้ยืมครับ ไม่ต้องซื้อเอง คืนตอนออกจากโรงก็พอ (ขออภัย ภาพโฟกัสไม่ติด ใช้มือถือถ่าย)
สนนราคาอยู่ที่ 300 และ 350 บาทสำหรับที่นั่งปกติ และ 1,200 บาทสำหรับที่นั่งคู่ครับ (ราคานี้คือคู่ละ)
ที่เหลือเป็นโรงธรรมดาอีก 4 โรง ราคาปกติครับ 220 บาทสำหรับที่นั่งธรรมดา 350 บาทสำหรับ Quartier Chair (ไม่รู้คืออะไร) และ 800 บาทสำหรับที่นั่งคู่ครับผม
โรงหนังก็มีเท่านี้ครับ ถึงจะอยู่ใน EmQuartier ที่ดูหรูเลิศและแพงล้ำ แต่โรงหนังบนนี้ก็ราคาอยู่ในช่วงปกติ แค่เพียง 200 - 1,800 บาทเท่านั้น เป็นการแย่งชิงเค้กกับ Emprive Cineclub ของ SF ฝั่ง Emporium ได้อย่างน่าติดตามผลเลยทีเดียว =)
การซื้อตั๋ว
ความเท่ปนความวุ่นวายในระบบซื้อตั๋วของ Quartier CineArt อยู่ที่ ที่นี่ไม่มี Box Office ให้ต่อแถวซื้อตั๋วแล้ว ต้องซื้อผ่านตู้เท่านั้น ครับ
การชำระเงินจึงต้องชำระผ่านบัตรเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตที่รูดได้เลย ... เป็นการเสียเงินที่เร็วมาก 3 วิประมาณนั้น -_-
หรือไม่ก็ชำระผ่านบัตรตระกูล m ทั้งหลาย
อาจจะมีคำถามว่า แล้วคนที่ถือเงินสดเข้ามาหละ? จะซื้อบัตรยังไง
อันนี้ได้คำตอบมาจากพนักงานว่า ต้องไปซื้อบัตร Speed Cash มาก่อนที่เคาน์เตอร์ด้านขวาของตู้ แล้วเอาบัตรมารูดอีกทีครับ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยสะดวก แต่เดี๋ยวคงต้องรอดูกันไปหลังจากนี้ครับ =)
Quartier iTicket บริการออกบัตรดูหนังเป็นรูปคุณ
อีก Gimmick ที่น่าสนใจดีคือบริการออกตั๋วพร้อมพิมพ์รูปของคุณบนตั๋วหนังออกมาเป็นบัตรแข็ง iTicket โดยต้องอัพโหลดภาพผ่านแอพฯ iTicket ที่มีทั้งบน iOS และ Android เพื่อรับรหัสและ QR Code ก่อนเอาไปสแกนในเครื่องขายตั๋ว 2 เครื่องซ้ายสุด
ตั๋วก็จะพิมพ์ออกมา พร้อมค่าบริการ 39 บาท ...
ด้านหลังบัตรเป็นภาพที่ถูกพิมพ์ออกมา แต่เนื่องจากภาพตัวอย่างไม่ค่อยโอเค ก็เลยขอสงวนสิทธิ์ไม่เอาลงละกันนะครับ ... ก็จินตนาการว่าเป็นภาพถ่ายที่ถูกพิมพ์ออกมาละกันนะ แต่คุณภาพภาพไม่ค่อยโอเคหงะ รู้สึกเหมือนเป็น Gimmick มากกว่าฟีเจอร์ -0-
ประสบการณ์การใช้งาน
เนื่องจากวันนั้นไม่ได้ไปในฐานะลูกค้าอย่างเต็มตัว เลยได้รับการดูแลดีมาก(ขอบคุณเมเจอร์มากครับ) บอกประสบการณ์การใช้งานในฐานะลูกค้าไม่ได้เต็มปาก โรงปกติก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้า แต่จากภาพรวมที่สังเกตดู ต้องยอมรับว่ายังไม่ลงตัวนะ เห็นคนดูบูดๆอยู่หลายคย ต้องปรับปรุงอีกหลายอย่าง แต่ก็เข้าใจว่าเพิ่งเปิดได้สองสามวัน
เทียบกับ Emprive ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นคนละ Segment ทาง Quartier CineArt เน้นเกรด B+ ขึ้นไป ส่วน Emprive นี่ A+ (และราคาก็บวกไปอีกที) คุณภาพก็เลยตามราคาเป็นปกติครับ จะคาดหวังให้ดีเท่าคงไม่ได้จริงๆ
Fast & Furious 7
สำหรับหนังที่ดูวันนั้นก็หนีไม่พ้น Fast & Furious 7 นั่นเอง
เป็นหนังที่มีฉาก Action เยอะมากมากมากมากและมากมากมากกกกก น่าจะราวๆ 70-80% ของเรื่องเลย เหนื่อยมาก แทบไม่ได้หยุดพัก เอะอะซัดกันเอะอะซัดกัน แถมก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการเอารถมาซัดกันได้อย่างไม่น่าเบื่อ ถึงแม้จะ 7 ภาคแล้วก็ตาม คนกำกับภาพทำได้ดีจริงๆ
แล้วก็ไม่รู้ว่าผู้กำกับหรือตากล้องเปลี่ยนแนวหรืออย่างไร เพราะเป็นหนังภาคที่เน้นนมและก้นเอามากๆ มุมกล้องนี่แทบจะ Piranha 3D แล้ว แต่ไม่มีถึงขั้นติดเรทครับ ดังนั้นเซฟๆ
เนื้อเรื่องถึงจะเวอร์ไปในหลายๆฉาก เหมือนจะเน้นแอคชั่นจนเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าสนุกและมันส์มาก และการดำเนินเรื่องก็ทำได้ดี เป็นการอำลา Paul Walker ผู้ล่วงลับได้อย่างลึกซึ้งตรึงใจมาก ทำ CG ได้เนียนพอสมควร ถึงจะพอมองออกอยู่บ้าง แต่มันก็ทำให้นึกถึงเหตุและผลว่าทำไมต้องทำ CG ด้วย ... ขอให้ Paul Walker ไปสู่สุคติครับ
ให้ 9.5/10 เลยครับ แนะนำให้ทุกคนไปดูนะ =)
สุดท้าย ขอบคุณ Major Cineplex ที่เอื้อเฟื้อตั๋วที่นั่งครับ ^_^