มีคนยุให้เขียน Blog ถึงเรื่องการบริหารเวลาของเรา เพราะเห็นว่าทำโน่นทำนี่ออกมาไม่หยุดราวกับคนมีเวลาไม่จำกัด ได้นอนบ้างรึเปล่าไรงี้ แต่จริงๆก็มีแค่วันละ 24 ชั่วโมงเหมือนทุกคนนั่นแล แถมนอนเยอะกว่าคนอื่นด้วย ...
ก็เพิ่งรู้ตัวนะว่าตัวเองทำอะไรตลอดเวลาตอนมีคนมาทักนี่เอง ก่อนหน้านี้ทำอะไรมาเยอะก็จริง แต่การบริหารเวลาบอกเลยว่าไม่ได้เรื่อง เละตุ้มเป๊ะไปหมด ควรจะทำได้สัก 5 อย่าง แต่ทำจริงๆได้อย่างเดียว แต่ใน 6 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มทำ The Cheese Factory ก็เริ่มบริหารเวลาเป็นมากขึ้น (ไม่งั้นคงทำกิจการของตัวเองลำบาก) ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเราสามารถบอกได้ว่าเราใช้เวลา 100% อย่างคุ้มค่าทุกวันทั้งตอนตื่นและนอนหลับ
จริงๆ Keyword หลักในการบริหารเวลาของเราคือ
เวลาของเราในแต่ละวันไม่เคยพอที่จะทำทุกอย่างหรอก ที่สำคัญคือจะทำให้ทุกนาทีมีค่าได้อย่างไร
แนวทางการบริหารเวลาของเราจึงเน้นไปที่ "การควบคุมความเข้มข้นของคุณภาพเวลา" ทำให้ฟังดูสับสนไปงั้นแหละ จริงๆภาษาทั่วไปคือคำว่า Productivity นั่นเอง เวลาทุกคนมีเท่ากัน แค่เลือกจะใช้มันทำอะไร ซึ่งแน่นอน นอกจากจะเลือกว่าจะทำอะไรแล้วยังต้องเลือกว่าจะไม่ทำอะไรด้วย ต้องรู้จักตัดสิ่งไม่จำเป็นออกจากชีวิต รู้จักตั้งเป้าหมาย รู้จักปฏิเสธ ฯลฯ
ถ้าให้แจกแจงเป็นข้อย่อยๆคงได้ประมาณนี้~~~~
ทำสิ่งที่รัก
เริ่มต้นข้อแรกแบบดูง่อยๆโง่ๆแต่สำคัญนะเอออออ สำคัญจนต้องยกมาข้อแรกเลยเพราะถ้าขาดข้อนี้ไป หลายๆข้อที่เหลือก็อาจจะพังทลายลงไปได้
มันคือการตั้งคำนิยามแหละว่า เราทำอะไรแล้วรู้สึกว่าเวลามันมีค่า นั่นแลคือสิ่งที่รัก การได้ทำสิ่งที่รักมันจะเพิ่ม Spiritual Need เมื่อได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก สามัญสำนึกจะทำมันอย่างเต็มที่และทำให้ความเข้มข้นของเวลาสูงขึ้นทันที ในทางตรงกันข้าม หากฝืนทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบเลย ถึงจะทำมันอย่างเต็มที่ ได้งานเยอะก็จริง แต่กลับกลายเป็นว่ายังคงรู้สึกเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าอยู่ดี แล้วพลังก็จะหมดลง ไม่มีแรงทำสิ่งต่างๆอีก
รู้สึกตัวอีกทีก็เคว้งคว้างหลงทางพร้อมกับถามตัวเองว่า "ฉันมาทำอะไรที่นี่"
ดังนั้น ... หาสิ่งที่ตัวเองรักให้ได้ก่อนนะ ใครยังหาไม่ได้ ... หาเซ่!!! หาก่อนเลย สำคัญมาก
ส่วนคนที่ตัวเองรักนี่ ... ตัวใครตัวมันละกันนะ
เข้าใจสถานะทางการเงินตัวเองว่าพร้อมสำหรับการทำเพื่อฝันหรือยัง
ความฝันมันสวยงามนะ แต่เราอยู่ในโลกแห่งความจริง มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันเรียกว่าโหดร้ายเลยหละ
หากปัจจัยสี่ยังไม่ครบก็อย่าเพิ่งคาดหวังจะทำตามใจตัวเอง
จงทำใจซะว่าหาก Cashflow ยังไม่ Positive (หรือรายได้ยังไม่พอค่าใช้จ่ายนั่นแหละ) ก็จงตั้งหน้าตั้งตาหาเงินซะ เพื่อปลดล็อคตัวเองออกจากบ่วงกรรมของหนี้สิน เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถทำ Cashflow ให้ Positive ได้ ทุกสิ่งที่จะทำลายคุณค่าทุกวินาทีของคุณลงก็จะตามมาเป็นกระบวน
คุณจะพะวงหน้าพะวงหลัง จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่าห้อง จะเอาเงินที่ไหนมากินข้าว แล้วก็เครียด เครียด เครียด เครียด มีเงินไม่พอก็กินมาม่า สุขภาพแย่ ไปหาหมอ เงินไม่มี เครียดอีก เครียด เครียด เครียด ...
เวลาแต่ละนาทีก็จะหมดไปกับความเครียด ใช้หาเงินก็ไม่ได้ สุดท้ายไม่มีอะไรดีเลย เงินก็ได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เวลาทำตามฝันก็ไม่มี
หากต้นทุนชีวิตของคุณอยู่ในจุดที่ยังไม่สามารถพาตัวเองไปสู่ความเสี่ยงได้ จงหักห้ามใจ ทำเพื่อเงินไปก่อนจนพ้นจุดลำบาก อาจต้องใช้เวลา แต่นั่นแหละ เวลาที่คุณจะเติบโต พอพ้นจุดนั้นไปได้ ... พุ่งไปหาฝันแม่มเลยจ๊ะ
เริ่มต้นอย่างแรกก่อนจะบริหารเวลาเพื่อทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการคือบริหารเงินให้ Cashflow Positive ก่อน สำคัญเป็นอันดับแรกเลยครับ หลักๆมีสามข้อ ลดค่าใช้จ่าย หารายได้และแยกแยะให้ได้ว่าอะไรที่อยากได้อะไรที่จำเป็น (ไม่ขอลง Details มากกว่านี้ละกันนะ เพราะนี่มันหัวข้อการบริหารเงินเพื่อปลดหนี้ละ)
จงจัดการเรื่อง Cashflow ให้ได้ก่อน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วจะทำข้อต่อไปไม่ได้ "กำหนดเป้าหมาย"
ตั้งเป้าหมายเดียวแล้วทำให้เสร็จ
ทุกคนอยากทำอะไรเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ในขณะเดียวกันก็มีอะไรต้องทำเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด
ชีวิตแต่ละคนมีเป้าหมายเป็นร้อยอย่างเลย ไอ่โน่นก็อยากทำ ไอ่นี่ก็อยากทำ คนส่วนใหญ่เลยเดินแม่มทุกทางเลย แต่หารู้ไม่ แท้จริงแล้ว "การวางเป้าหมายเดียว" เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการดำเนินชีวิต เพราะยิ่งมีเป้าหมายเยอะ คุณก็จะยิ่งหลงทาง สุดท้ายไม่สามารถโฟกัสกับอะไรได้สักอย่าง ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้สักอย่าง แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการมีเป้าหมายมากมายแต่ไปไม่ถึง
อีกอย่าง Switching Cost มีเสมอและสูงด้วย ถ้าคุณสลับทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่คุณสลับคุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
จงลดความอยากลงแล้วไตร่ตรองว่าอะไรคือเป้าหมายที่เราอยาก Achieve จริงๆ เริ่มจากเป้าหมายใหญ่ก่อน แล้วค่อยๆแตกวิธีการย่อยลงเป็นเป้าหมายเล็กๆดั่ง Check Point แล้วก็ลุยไปทีละอย่างๆๆๆ จนสุดท้ายก็จะถึงปลายทาง
ยกตัวอย่างของจริงเลยละกัน เราวางเป้าหมายใหญ่ไว้ว่าปีนี้จะพัฒนา Developer Community ในไทยให้ได้
เราเริ่มต้นจากเขียนบล็อกเพื่อให้คนรู้จักตั้งแต่ปีที่แล้ว จากนั้นเปิดสอน รวบรวมคนได้ประมาณหนึ่งก็จัด Mobile Dev Talk ... ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญเลย เป็นแผนที่วางไว้จากเป้าหมายใหญ่หนึ่งเดียวที่วางไว้นั่นเอง นี่มีอีกนะ ไว้ค่อยๆเปิดไพ่ทีละใบ
คราวนี้เมื่อถึงเป้าหมาย ก็สร้างเป้าหมายใหม่แล้วลุยต่อไปจนถึงเป้าหมาย แล้วก็สร้างเป้าหมายใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นี่แหละเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว แถมยังเห็นผลอีกต่างหาก
สำหรับคนที่ยังต้องทำเพื่อเงิน กำหนดเป้าหมายง่ายมากครับ "ต้องมีเงิน xxx บาทภายในอายุ yy ให้ได้" หรือ "ต้องล้างหนี้ก่อนอายุ yy ให้ได้"
แล้วลุยแม่มเลยครับ
กำหนดเป้าหมายประจำวัน
เคยตื่นมาแล้วงงๆว่าวันนี้จะทำอะไรดีป่ะ?
นั่นเป็นการเริ่มต้นวันที่ไม่มีประสิทธิภาพเอาเสียเลย เมี้ยว (เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ...)
หากอยากจะใช้ชีวิตทุกนาทีอย่างมีความหมาย ก็ต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าแต่ละวันจะทำอะไรเพื่อจะได้ Achieve Goal ใหญ่ที่ตั้งไว้ โดยปกติเราจะไม่ตั้งตอนตื่นนอนแต่จะตั้งตอนวันเสาร์อาทิตย์ว่าสัปดาห์หน้าจะต้อง Achieve Goal อะไรบ้างและจะต้องทำยังไง
เป้าหมายประจำวันจะทำให้ชีวิตของคุณไม่หลงทางและมีค่าทุกวินาทีที่เลยผ่าน
สำหรับเป้าหมายประจำวันนี้ลองหัดตั้งจากง่ายๆดูก่อน "สัปดาห์นี้จะต้องเขียน Golang เป็น ถ้างั้นวันจันทร์เราจะต้อง Install ให้เสร็จก่อนนะ จบวันต้องเข้าใจ Syntax วันอังคารต้องเริ่มเขียนโปรแกรมง่ายๆ วันพุธเริ่มทดสอบ Framework" อะไรทำนองนี้
เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ... ก็สบายละ
จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ
อย่างที่บอก เวลาในแต่ละวันไม่เคยพอจะทำทุกอย่างที่อยากทำหรอก
มีเวลา 16 ชั่วโมง แต่มีสิ่งที่ต้องทำสัก 48 ชั่วโมงได้ ... แล้วทำไง? ยืดเวลาให้วันนึงมี 48 ชั่วโมงแล้วไม่ต้องนอน? ... บ้าเรอะ
ก็ต้องรู้จักเรียงความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ อะไรไม่สำคัญ เก็บไว้ท้ายสุด ไม่ก็ส่งต่อหรือไม่ก็ไม่ทำเลย (ไม่สำคัญจะทำไปทำไม ห๊ะ!) ถ้าให้แบ่งระดับความสำคัญก็คงแบ่งได้ประมาณนี้
1) สำคัญและเร่งด่วน - ไม่ทำแกตาย
2) สำคัญและไม่เร่งด่วน - สำคัญแต่มักดองจนสุดท้ายลืม ... อิ๊บอ๋ายสิ
3) ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน - งานแทรก
4) ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน - เรื่องทั่วไป
เมื่อจัดลำดับได้แล้ว ทำข้อ 1) และข้อ 2) ก่อนเลยครับ ข้อ 1 นี่ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ ส่วนข้อ 2 เนี่ย คนเรามักจะเลี่ยงกันเพราะไม่เร่งด่วน อันนี้บอกเลย ถึงจะไม่เร่งด่วนแต่มันสำคัญ ทำเลยยยยย ไม่งั้นจะกลายเป็นงานดอง พอรู้ตัวอีกที เฮ้ยๆๆๆๆ ลืมทำ แล้วก็นั่งเร่งทำ สุดท้ายตารางชีวิตก็เละไปอีก
ส่วนข้อ 3 เนี่ย ... จากประสบการณ์งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วนนี่แหละตัวอันตราย เพราะไม่สำคัญแต่เจือกเร่งด่วน (เลยมีชื่อเล่นว่างานแทรก) หากอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้ จงวางมันไว้อยู่อย่างนั้น ว่างค่อยทำ แต่ถ้าอยู่ในสภาวะที่เลี่ยงไม่ได้ เจ้านายคนไหนสั่งงานประเภทนี้ควรต้องรับผิดชอบต่อผลิตผลอันร่วงหล่นของลูกน้องด้วย เพราะอยากให้รู้ไว้เหลือเกินว่า Switching Cost มันสูงนะเฟร้ย อยู่ดีๆมาแทรกงานอันสำคัญของชีวิตแบบนี้ มันแย่เอามากๆ
สำหรับเราตอนนี้นะ งานแทรกจะด่วนแค่ไหนก็บรัยยย เข้าคิวนะจ๊ะ ไม่งั้นบริหารเวลาดีๆไม่ได้จริงๆ
ข้อ 4 นี่ก็อันตรายใช่ย่อย เพราะมักจะเป็นงานง่ายๆงานทั่วๆไป เช่น ส่งอีเมล บลาๆๆๆ เป็นตัว Distract ชีวิตที่ชะงัดนักแล ระวังไว้ ระวังไว้ เจอของพวกนี้ก็อย่าเพิ่งทำ รอมีเวลาค่อยทำ
และก็อย่าใช้แต่อารมณ์ในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร(เพราะพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ใช้กันตลอดตลอด) ใช้เหตุผลด้วย(และอารมณ์ด้วย) ไม่งั้นจะพบว่าจบวันก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่ดีหรือมีประโยชน์ หรือดันไปเก็บสิ่งสำคัญไว้ทำตอนหลังๆ ... แล้วไง? ก็ไม่ได้นอนงะ พอไม่ได้นอนแล้วไง? วันต่อไปก็รวนงะ พอวันต่อไปรวนแล้วงะ? ก็เละงะ
บรัยยย
รู้จักปฏิเสธ
ศาสตร์ของการปฏิเสธนี่แหละยอดเยี่ยมและยากที่สุดแล้ว
คำจากพี่ชายที่เคารพท่านหนึ่งที่เคยตบบ่าบอกไว้สมัยสัก 7-8 ปีก่อน
"น้องเอ๊ย ต้องรู้จักเลือกสิ่งที่ทำให้เวลาเรามีค่ามากที่สุดนะ หาเป้าหมายแล้วเดินไปอย่าให้อะไรมาขัดขวางเรา รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายไม่ได้ ไม่งั้นเราก็จะได้แต่ย่ำอยู่กับที่หรือถูกหลอกใช้ไปวันๆนะ ศาสตร์แห่งการปฏิเสธนี่แหละ ยอดเยี่ยมและยากที่สุดแล้ว"
แล้วพี่คนนั้นก็เดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอพี่คนนั้นตัวเป็นๆ เห็นอีกทีก็เป็นผู้บริหารของบริษัทใหญ่ระดับประเทศเรียบร้อย
เช่นเดียวกับที่ Steve Jobs เคยบอกไว้ว่า
การตัดสินใจว่าจะไม่ทำอะไรนั้นสำคัญพอๆกับการตัดสินใจว่าจะทำอะไร
ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เข้ามาในชีวิตไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป บางสิ่งที่คุณเรียกว่าโอกาส มันอาจจะเป็นจอมมารแฝงอยู่ก็ได้ บางครั้งการตอบรับอะไรไปอาจจะทำให้ชีวิตคุณไร้ค่าไปอีก 2 ปีได้เลย ถ้าคุณเอาแต่เซย์เยส ชีวิตคุณวอดวายแน่ๆไม่วันใดก็วันหนึ่ง
หรือแม้แต่เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไปขัดขวางเป้าหมายที่วางไว้ สุดท้ายก็ไม่ส่งผลดีอีกเช่นกันเพราะเท่ากับคุณกำลังเดินหลงทาง
ดังนั้นจงรู้จักมีวิจารณญาณว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน และหากเห็นว่าอะไรที่ไม่ควรทำ จงหัดสกิลที่ยากระดับโลกและต้องอาศัยการฝึกฝนสักพักหนึ่ง
"การปฏิเสธ"
ปีนี้ปฏิเสธงานไปแล้วราวๆ 10 ชิ้น ... ไม่ได้เล่นตัวนะ ทุกอย่างที่เข้ามาดีหมดเลยจริงๆ แต่ยังจัดการชีวิตเรื่องการเรียนการสอนยังไม่เสร็จหงะ อย่าโกรธกันนะ จุ๊บๆ T^T (นี่ก็ยังปฏิเสธไม่เก่งอยู่ดี)
เอาเวลาที่คิดจะทำมาลงมือทำ
คนส่วนใหญ่ก็เอาแต่จะคิดว่าจะทำจะทำ เพราะอะไร? ก็มันง่ายงะ คิดแล้วก็ฝันว่าถ้าทำได้มันต้องดีแน่ๆเลย
เสียอย่างเดียว ... แม่มไม่ทำ
ถ้ารวมเอาเวลาที่เอาแต่นั่งคิดเพ้อฝันมาลงมือทำจริง นอกจากจะไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังได้เป็นตัวงานที่สามารถเอาไปสร้างอนาคตตัวเองได้อีกด้วย
ข้อนี้พลาดกันเยอะครับ เจอแต่คนคิดแต่นานน้านนนนนทีจะเจอคนลงมือทำอย่างที่คิดสักที
ทั้งๆที่โลกไม่เคยเปลี่ยนไปด้วยคนที่เอาแต่คิด แต่เปลี่ยนได้ด้วยมือของคนลงมือทำเท่านั้น ...
อ่ะ หยุดเอาแต่คิดว่าจะทำอะไร พอคิดได้ว่าจะทำอะไรก็ลงมือทำซะ !
อย่างเนี่ย คิดจะเขียน Blog มันก็ไม่มี Blog ให้อ่านหรอก พอคิดจะเขียนก็นั่งพิจารณาสักพักว่าถ้าเขียนแล้วมันจะเวอร์คมั้ยนะ (ใช้เวลาลับคมขวาน) พอได้คำตอบมาว่า "เวอร์คแน่" แล้วก็ลงมือเขียนเลย! (เอาขวานสับ) แล้วก็เลยได้ออกมาเป็น Blog ให้ทุกท่านอ่านกัน ... เฮ~~~
ยังไงก็ตาม ถ้าลงมือทำแบบไม่คิด อันนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนา ...
ใช้ Google Calendar ช่วยบริหารภาพรวม
การเห็นภาพรวมว่าต้องทำอะไรบ้างเวลาไหนบ้างในวันไหนบ้างจะช่วยให้คุณรู้ว่าคุณมีเวลาช่วงไหนบ้างและมากน้อยแค่ไหน นั่นจะทำให้คุณสามารถวาง Slot ของชิ้นงานอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ งานเล็กๆสั้นๆก็ไปใส่ไว้ในช่อง 1 ชั่วโมงระหว่างรอประชุมครั้งต่อไป งานใหญ่ๆใส่ไว้ตอนมีเวลาว่างติดกัน 6 ชั่วโมง สนุกดั่งเล่น Tetris เลยทีเดียว
Google Calendar ช่วยท่านได้ครับ เชื่อเนย เชื่อเนย
ตัดการใช้เวลากับสิ่งไม่จำเป็นทุกชนิดทิ้ง
จริงๆโจทย์การบริหารเวลามันง่ายมากเลยนะ "จะเอาเวลาไปใช้ทำอะไร"
อะไรที่มันไม่จำเป็นต่อชีวิต ไม่ได้ส่งผลดีต่อชีวิต ก็ตัดทิ้งไปเซ่~~~~~~
อย่างเรานี่แอพฯแชทลบทิ้งหมดเลยเหลือแค่ Facebook Messenger ซึ่งเช็คแค่วันละ 2-3 ครั้งเท่านั้น โทรศัพท์เบอร์แปลกก็ไม่รับ ใครอยากติดต่อให้ส่ง SMS ทิ้งไว้ อีเมลก็เช็คแค่ 2-3 ชั่วโมงครั้ง เหลือช่องทางติดต่องานไว้ช่องทางเดียว ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง สบายจะตายไป
Social Network ทั้งหลาย ... ก็เข้าบ้างแต่ควรเข้าให้น้อยลง ไม่ใช่ติดอยู่กับมันทั้งวัน เข้าเสร็จ 10 วินาทีสแกนๆๆๆ แล้วก็ออก ทำงานต่อ แล้วก็ไม่ใช่อีก 5 วินาทีเข้าใหม่ ... กรณีนั้นขอเชิญวัดถ้ำกระบอก
อะไรที่ไม่จำเป็นต้องทำก็อย่าทำ เก็บไว้ทำตอนมีเวลาเหลือจริงๆเท่านั้น ซึ่งถามว่าอะไรจำเป็นอะไรไม่จำเป็น? จริงๆมนุษย์ทุกผู้ทุกนางรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วครับ ตามที่รู้สึกเลย
เมื่อเวลาที่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ต่อวันน้อยลง คุณก็จะมีเวลาในการทำสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น
สมการง่ายๆ ... แต่ทำกันไม่ได้ใช่ม้าาาา
อ่ะ สิ่งที่ไม่จำเป็นมักมีแรงดึงดูด ค่อยๆพยายามครับ ถอยออกมาทีละนิดๆจากสิ่งเหล่านั้นจนกระทั่งหลุดออกมาได้ แล้วชีวิตจะดีเอง
งดดราม่าทุกชนิด
ก็ต่อเนื่องจากข้อที่แล้วแหละแต่แยกออกมาเป็นข้อนึงเพราะดราม่าเป็นสิ่งเสพย์ติดชนิดหนึ่งเช่นกันและกินเวลามาก เรื่องพวกนี้จะทำให้ชีวิตหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องราวของคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด
และดราม่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องแง่ลบ อ่านแล้วหงุดหงิด อ่านแล้วความรู้สึกลบเข้ามาในหัว (เราขอเรียกว่า Downforce แรงดึงประสิทธิภาพให้ต่ำลง) ซึ่งกว่าจะเคลียร์เรื่องราวและอารมณ์ทั้งหมดออกจากหัวได้ก็หมดวัน
อ่านชั่วโมงนึง เครียดและหงุดหงิดอีก 6 ชั่วโมง เม้าท์กับเพื่อนอีก 8 ชั่วโมงและก็ตามเรื่องหลังจากนั้นอีก 10 ชั่วโมง ... แล้วบอกว่าตัวเองไม่มีเวลา? ผิดละ ผิด
ดังนั้นงดซะนะครับเรื่องราวดราม่าทั้งหลาย อะไรที่เป็นเรื่องของคนอื่นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนอื่น ทุกคนทำผิดพลาดได้หมด มีคนอยู่พันล้านคนทั่วโลก หากสนใจความผิดพลาดของทุกคน ชีวิตคุณก็คง ...
ถ้าจะอ่านก็อ่านเอากรณีที่เป็นอุทธาหรณ์และมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตเท่านั้น เรื่องพวกนั้นยังถือว่าจำเป็นต้องคอยอ่านอยู่ ทั้งนี้เราไม่เรียกมันว่าดราม่า แต่เราเรียกมันว่าความรู้
ผมว่าแค่ข้อนี้ข้อเดียว ก็เป็นจุดต่างที่เห็นได้ชัดใน Productivity ของคนแต่ละคนเลย
สำหรับดราม่าประเภทที่เกิดกับตัวเอง ถ้าเป็นปัญหาจริงๆก็ควรหาทางแก้ไขมันครับ ใช้เวลาเพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ แต่ถ้าเป็นดราม่าประเภทมีคนมาอิจฉา มีคนมาด่า บลาๆๆๆ ประมาณกุไม่ได้จะดราม่าแต่ก็มีดราม่ามาเสิร์ฟถึงมือ ของพวกนี้ส่วนใหญ่ใส่ใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็ให้เค้าบ่นอะไรของเค้าไปและจงปล่อยวาง หายใจเข้า หายใจออกและทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดครับ
หลีกเลี่ยงความเครียดทุกชนิด
ความเครียดนี่ตัวอันตรายในการทำลายคุณค่าของเวลาเลย นี่พูดเลย
แค่เวลาที่ใช้เครียดก็เป็นเวลาที่ Waste ไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่วินาทีเดียว ยังไม่จบแค่นั้น คุณยังต้องใช้เวลาในการทำให้หายเครียดอีก และเวลาเหล่านั้นคุณจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยแม้แต่วินาทีเดียว
จงทำตัวให้มีความสุขเข้าไว้ มองโลกในแง่บวก ไม่ต้องดราม่า ไม่ต้องไปคิดลบกับใคร(รวมทั้งกับตัวเองด้วย)
หากมีแม้แต่วินาทีเดียวที่ความเครียดเริ่มเข้ามาเยือน ... ลุกออกจากโต๊ะทำงานไปหาความบันเทิงเลยจ๊ะ ยังเป็นการใช้เวลาที่ดีกว่า พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงาน โอเค้?
จากประสบการณ์ สภาวะความเครียดจากการเงินเกิดขึ้นบ่อยมาก แล้วควรทำยังไง? ... หาทางออกสิ
เครียดไปแล้วเงินเดือนขึ้นมั้ย? "ขอเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงรักษาความเครียดค่ะ" จะบ้าเรอะ ...
เครียดไปก็เปล่าประโยชน์ หากเงินคือปัญหา ก็หาเงินสิ หาเงิน กระตือรือร้นที่จะหาเงิน ถีบตัวเองออกจากจุดที่อยู่เอาแต่นั่งเครียดไปวันๆ ... อยากได้เงินเพิ่มก็รับงานนอกสิ (แต่ถ้ากระทบกับงานหลักและเป้าหมายที่วางไว้ถือว่าผิด อย่าทำ มันไร้ความรับผิดชอบ)
สุดท้ายคุณจะเข้าใจเองว่าความเครียดก็เกิดจากการที่คุณไม่ยอมคิดหาทางออกเองทั้งนั้น สุดท้ายคุณจะจมลงไปกับหลุมทรายดูดแห่งความเครียด กว่าจะขึ้นมาได้คนอื่นที่ไม่เอาแต่นั่งเครียดแต่ลุยลงมือทำเลย ก็นำไปถึงไหนแล้วไม่รู้
แล้วหากว่าสภาพองค์กรเป็นคนทำให้คุณเครียดหละ?
อื้ม ... ต้องตัดสินใจกันเองละว่าต้องทำยังไง
แชร์เรื่องราวดีๆให้คนอื่นได้อ่านอยู่เสมอ
ชีวิตคนอ่ะเนอะ บางวันก็เป็นวันที่ดี แต่บางวันก็ไม่ใช่
วันไหนเจออะไรดีๆก็เป็น Upforce เสริมสร้างกำลังใจให้เราทำสิ่งต่างๆต่อไปด้วยความสุข แต่วันไหนเจออะไรแย่ๆก็กลายเป็น Downforce ให้เสียกำลังใจ ไม่อยากทำอะไร
แต่จริงๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันที่ดีหรือวันที่ร้าย ทุกวันล้วนมีสิ่งดีๆอยู่สักที่เสมอ
จงพยายามอย่างสุดความสามารถ หาสิ่งดีๆเหล่านั้นแล้วมาแชร์ให้คนอื่นได้อ่านได้ฟังกันเรื่อยๆ
คราวนี้ไม่ว่าวันไหนๆก็กลายเป็นวันที่มีแต่ Upforce ส่งเสริมพลังให้เรามีกำลังใจทำอะไรต่อไป ทำให้วันรุ่งขึ้นเป็นอีกวันที่อยากตื่นมาทำอะไรดีๆอีก และสิ่งดีๆก็ไม่ได้ปรากฎแค่กับตัวเอง แต่กับคนรอบข้างที่เราแชร์เรื่องราวดีๆให้เค้าได้อ่านได้ฟังอีกด้วย
มีทีมดีเพิ่ม Productivity รวมไปได้ 70%
รู้จักภาพด้านบนมะ? V Formation ของนก เวลานกบิกเป็นรูปตัว V จะช่วยให้ตัวหลังใช้แรงในการบินน้อยลง 70%
เหมือนกับชีวิตการทำงานเป็นทีมทุกประการ หากแต่ละคนมี Productivity 100% แต่พอสองคนมาทำงานด้วยกันเป็นทีมอย่างลงตัวแล้ว Productivity รวมจะกลายเป็น 270% ไม่ใช่ 200%
อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียว เพราะสุดท้ายคุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เยอะมาก อะไรปล่อยได้ให้ปล่อย สุดท้ายจะได้ความสามารถในการบริหารคนเพิ่มอีก รวมถึงได้สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในการทำงานมาอีกด้วย
"ทีม"
อย่างตอนจัดงาน Mobile Dev Talk นี่ ทีมเลอค่ามาก พยักหน้าสองที "อยากได้แบบนั้นๆ ฝากจัดให้หน่อยสิๆๆๆๆ" ด้วย "ความไว้ใจในฝีมือ" ก็ปล่อยให้แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองไปเลย และผลที่ได้ออกมาก็จะทำให้คุณต้องทึ่ง ...
ครับ ทีมที่ดีจะทำให้คุณภาพของเวลาคุณเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และไม่ใช่แค่คุณเท่านั้นด้วย แต่เป็นทั้งทีม และก็จะส่งผลต่อคุณภาพของงานตามมาด้วย
แต่ในทางตรงกันข้าม หากทีมไม่ดี มีแต่แรงดึงลง (Downforce) ก็จงผละตัวออกจากทีมนั้นเสีย เพราะนอกจาก Producitivity ตัวคุณจะลดแล้ว ความเครียดและผลดึงลงจะตามมาเต็มไปหมด ...
ระลึกไว้เสมอว่าการพักผ่อนเป็นส่วนหนึ่งของงาน
"ถ้ามีเวลาไปดูหนัง เอาเวลาไปทำงานดีกว่ามั้ย?"
"ไหนว่าทำงานไม่ทัน ทำไมมีเวลาไปเที่ยว?"
เจอใครถามแบบนี้กระโดดเตะมันได้เลยนะครับ
การพักผ่อนเป็นส่วนนึงของการทำงานเฟร้ยยยยยยยยยย
ต่อให้ทำงานที่รักแค่ไหน ความเหนื่อยล้ามันก็มีได้เสมอ มันเป็นเรื่องปกติของชีวิต
เคยมั้ย คิดงานเป็นวันๆคิดไม่ออก พอไปเดินช็อปปิ้งชั่วโมงเดียว งานที่คิดไม่ออกมา 6 ชั่วโมง กลายเป็นเรื่องง่ายๆดีดนิ้วสองทีออกมาซะงั้น!!
มันเป็นกลไกของร่างกายที่บังคับให้คนไปพักครับ และมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก บอกเลยว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ตั้งไว้เลยว่าจะต้องพักเล็กๆน้อยๆทุกวันไม่ว่าจะรูปแบบไหน
อย่างเนยนี่ไปเดินห้างทุกวัน วันละ 30 นาที - 1 ชั่วโมงแล้วแต่วัน ไม่ได้ซื้ออะไร แค่พักผ่อนหย่อนใจ หรือบางวันก็นั่งดูหนังชิวๆ
บางทีก็เลือกพักทั้งวันเลย แล้วออกไปหาอะไรทำเพื่อเคลียร์สมอง เช่นถ่ายรูป ออกไปหาเรื่องราวมาเขียน Blog บลาๆๆๆ ก็ตามเรื่องตามราวกันไป ซึ่งสุดท้ายถึงจะไม่ได้ทำงานหลัก แต่ก็ยังได้ผลผลิตเสริมมาอีก คือรูปภาพ Blog รวมถึงสกิลการถ่ายรูปที่เพิ่มขึ้น
พอกลับไปทำงานหลัก ก็ได้ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นชนิดที่ว่านอกจากจะไม่รู้สึกว่าเสียงานไปหนึ่งวันแล้ว ยังจะได้งานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย
การทำงานอย่างเดียวแล้วไม่พักถือเป็นการไม่รับผิดชอบต่องานและเป็นการบริหารเวลาที่แย่ เพราะมันจะทำให้ Productivity ลดลง ใช้เวลาทำงานมากขึ้นแต่ได้งานน้อยลง แล้วตารางเวลาก็จะเลื่อนกันไปหมด
แต่ถ้าพักผ่อนมากกว่าทำงาน ....... รับยาช่อง 2 นะลูก
นอนให้พอ
สมัยอายุ 20 ถึงยี่สิบปลายๆ เรานอนวันละ 4 ชั่วโมง บางทีก็นอนวันเว้นวันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อที่ว่าจะได้มีเวลามากขึ้น จะได้ได้งานมากขึ้น (ผลจากการบริหารเวลาไม่เป็น)
ปรากฎตั้งแต่ทำ The Cheese Factory มา ทุกวันนี้เรานอนวันละ 8 ชั่วโมง ไม่เคยต่ำกว่านั้น แต่งานที่ได้ในแต่ละวันกลับมากขึ้นเป็นสองเท่า! (วันไหนมีสอนก็จะสอนรู้เรื่อง ลื่นปรื้ดๆ พอสอนเสร็จก็ยังมีเวลากลับมานั่งทำงานต่อที่ห้องอีก)
ทั้งนี้เพราะตอนที่นอนวันละ 4 ชั่วโมงนั่น ถึงจะตื่นนอนแต่ก็อยู่ในภาวะอดนอน สมองทำงานได้ไม่ถึง 50% สมาธิสั้น โฟกัสอะไรก็ไม่ได้ ง่วงก็ง่วง หงุดหงิดก็หงุดหงิด เครียดอีก ปรากฎว่าทุกนาทีที่ผ่านไปนั้นแสนเฉื่อยชา บางวันก็น็อคไปเลย Productivity แย่มาก
ในขณะที่ทุกวันนี้ ตอนตื่นนอนอยู่ในสภาวะสดชื่นเต็มที่ ผลคือสามารถทำงานได้แบบเข้มข้นสุดๆ Productivity พุ่งปรี้ดดดด ทำงานจนเหนื่อยก็ไปพัก แล้วก็กลับมาทำงานต่อ ทุกคนจะตกใจในประสิทธิภาพอันสุดยอดของคุณ
หลังจากจบวันก็ชื่นใจกับงานที่ผ่านไปอีกวัน ทำให้นอนหลับได้อย่างสบายใจไร้กังวลและตื่นขึ้นในวันต่อไปอย่างสดใส ลุยงานได้อย่างเต็มที่อีกเหมือนเดิม
การนอนให้พอสำคัญมากๆครับ มากจนอยากยกเป็น Priority หลักเลย เรียงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การใช้เวลาเป็นอันดับต้นๆของชีวิตแต่ละวันได้เลย
ย้ายที่อยู่ให้อยู่ใกล้ที่ทำงาน
ข้อสุดท้ายของบทความนี้ ... สำคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่อยู่กรุงเทพฯที่ต้องใช้เวลาเดินทางจากบ้านสู่ที่ทำงานสองชั่วโมง ...
บอกเลยว่าถ้าคุณใช้เวลาเดินทางเกิน 30 นาที คุณพลาดดดดดละครับ พลาดกับทั้งตัวคุณเองกับทั้งองค์กร
การเดินทางโดยต้องใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงนั่นหมายถึงอะไร?
1) เวลานอนน้อยลง - เพราะต้องตื่นเร็วกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อไปเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์บนรถ
2) เครียดและเหนื่อยจากการเดินทาง - การรอคอยเป็นอะไรที่เหนื่อยที่สุดแล้ว แถมเจอสภาวะรถติด ความเครียดก็จะตามมาอีกโดยไม่รู้ตัว
3) เสียเวลากับการนั่งพักเหนื่อย - มาถึงที่ทำงาน 9 โมงครึ่ง แต่กว่าจะเริ่มทำงานได้ก็ 11 โมง เพราะ 90 นาทีแรกหมดไปกับการนั่งพักให้หายเหนื่อยและหายเครียด
4) ไม่มีเวลาพักผ่อน - แทนที่จะเอาเวลาไปพักผ่อน กลับต้องเสียไปกับการเดินทางกลับอีก
สรุปคือคุณเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปในแต่ละวันเพิ่ม 5-6 ชั่วโมง พร้อมกับต้องอดนอน ...
การย้ายที่อยู่ให้มาอยู่ใกล้ที่ทำงานจะทำให้เวลาของคุณเข้มข้นขึ้นมาอย่างน้อย 3 เท่าแน่นอนครับ พูดได้จากการลองย้ายที่อยู่มาแล้ว 4 ที่
บทสรุปและผลของการบริหารเวลาใน 6 เดือนที่ผ่านมา
สรุปแล้วมันก็มาจากสิ่งง่ายๆแหละครับ
- เพิ่มเวลาที่ใช้งานได้ในแต่ละวัน
- ลดเวลาที่ใช้ไปกับสิ่งไม่จำเป็นในแต่ละวัน
- เพิ่มคุณภาพของเวลา
- เลือกว่าจะทำอะไรและไม่ทำอะไร รวมถึงจะทำอะไรก่อนอะไรหลัง
- นอนให้พอเพื่อให้ผลผลิตต่อเวลา(a.k.a.ประสิทธิภาพ)ในแต่ละวันสูงขึ้น
ผลของการบริหารเวลาด้วยตัวเองอย่างเต็มที่คือ นอนเต็มอิ่มทุกวัน สดชื่นทุกวัน ผิวหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้งานเยอะมาก ทำอะไรเยอะมากและยังหยุดทำไม่ได้ และสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเกิดขึ้นก็เกิด "ทุกคนทักว่าอ้วนขึ้น"
อย่าลืมนะครับ
แต่ละวันทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้มันอย่างคุ้มค่า
ลองปรับๆเอาไปใช้กันดูครับ หวังว่าจิมีประโยชน์นะ ^_^
เวลาไม่ใช่ของคุณ แต่มันเป็นของ "ชีวิต" คุณ