"ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เพื่อความฝันและวันข้างหน้า วันนี้เหนื่อยไม่ว่าถ้าหากมันทำให้มีวันหน้าที่สวยงามได้"
วันฟ้าใหม่ จากชีวิตที่เป็นไมเกรนทุกวัน สู่วันที่เหลือแค่เดือนละสองครั้ง
22 Oct 2014 19:11   [14702 views]

ชีวิตนี้มีโรคประจำตัวต้องคำสาปอยู่สองโรคด้วยกันคือ (1) แพ้อากาศเรื้อรัง (2) ไมเกรน

ที่บอกว่าเป็นโรคต้องคำสาปก็เพราะมันทำให้ชีวิตในแต่ละวันของเราไม่ได้มี 24 ชั่วโมงอย่างคนอื่นเค้า ... บางวันไม่มีแม้แต่ชั่วโมงนึงเลยด้วยซ้ำ

แพ้อากาศเรื้อรังทำให้เราไม่สามารถหายใจด้วยจมูกได้ เพราะอากาศกรุงเทพฯนี่แหละที่แพ้หนักเลย และดันอาศัยอยู่กรุงเทพฯอีก หลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดง่ายๆ แพ้ 24 ชั่วโมงเลย ในช่วงตื่น ต้องคอยเดินไปสั่งน้ำมูกทุก 10 นาที ไม่ก็เอาทิชชี่อุดจมูกไว้ หายใจทางปากเอาแทน ทำให้เราไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งใดได้เลย โดยอาการแพ้อากาศคอย Interrupt เอาตลอด ส่วนตอนนอน บางคืนก็หายใจไม่ได้โดยไม่รู้ตัว ตื่นมาหอบแฮ่กๆๆ

ส่วนไมเกรน ... ชีวิตกลายเป็นคน Sensitive ต่อทุกสิ่ง เพราะหากมีสิ่งเร้ากระตุ้น (Trigger) ขึ้นมาเช่น แสง สี เสียง ความเครียด จะเกิดอาการปวดหัวหนักทันทีภายใน 5 นาทีและไม่สามารถหายได้เอง ต้องทานยา ไม่ก็นอน แปลว่าถ้าเป็นตอนเช้า เราก็จะเสียวันนั้นทั้งวันไปเลย สุดท้ายก็เลยต้องกินยาตลอดเวลา กินจนเป็นโรคกระเพาะ ... (อะไรกันนักกันหนา)

ทั้งสองอาการนี้เป็นตั้งแต่เด็ก แพ้อากาศน่าจะเริ่มตั้งแต่ 5-6 ขวบ มาจากแพ้น้ำหอมแม่ จามและอ้วกทุกเช้าจนสุดท้ายแม่ต้องเลิกฉีดน้ำหอม (แต่จำไม่ได้หรอกนะ) ส่วนไมเกรนเริ่มเป็นตอน 10 ขวบ นั่งฝึกเขียนโปรแกรมอยู่ก็ล้มลงไปนอนกับพื้นเลย ปวดจนนึกว่าจะตายแล้วตอนนั้น (ครั้งแรกยากเสมอ)

แต่ปรากฎว่า ... มาสำรวจตัวเองตอนนี้ พ้นอายุ 30 ไปได้สองเดือน ก็พบว่าตัวเองหนีพ้นจากทั้งสองโรคนี้ได้แล้ว

ก็ทำความตั้งใจครับ ทำโน่นทำนี่มาเยอะเพื่อให้หายจากไมเกรน หวังไว้ว่าถ้าไมเกรนดีขึ้นเมื่อไหร่ จะมาเขียนแชร์ว่าทำยังไงถึงดีขึ้นได้ ตอนนี้คงถึงเวลาเขียนแล้ว =)

หายขาดจากอาการแพ้อากาศ

สำหรับอาการแพ้อากาศนี่หายขาดละ จากการที่เป็นหนักมากขึ้นเรื่อยจนถึงขั้นใช้ชีวิตไม่ได้แล้ว (จามวันละ 300 ครั้งจนเป็นหืด ต้องซื้อยาพ่นหลอดลมมาพ่น) ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอที่บำรุงราษฎร์ กะจะแค่หายามาทาน แต่กลับโชคดี หายขาดซะอย่างงั้น เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่สามารถหายใจได้ทางจมูก

สิ่งที่หมดทำแล้วรู้สึกว่าแตกต่างจากที่เคยไปหาที่ผ่านๆมาคือการที่หมอพ่น ล้างจมูกและดูดสิ่งต่างๆในโพรงจมูกออกอย่างพิถีพิถัน ตอนออกจากห้องรักษานั่นเป็นครั้งแรกที่หายใจทางจมูกได้ รู้สึกตื่นเต้นมาก

ผลของการหายจากการแพ้อากาศนี่เหมือนมีชีวิตใหม่เลยหละ มันบอกไม่ถูกว่าตอนมีอาการนั้นมันทรมานแค่ไหน มันใช้ชีวิตแทบไม่ได้เลยจริงๆ จามไม่หยุด หายใจไม่ได้ เป็นเรื่องที่ดีมากๆในชีวิต นาทีนี้ต่อให้เจอสภาพอากาศเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่จามไม่มีน้ำมูก ไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแววของคนเคยแพ้อากาศอย่างหนักอีกเลย สบายมาก

มีคนถามเข้ามาหลายคนนะว่าต้องไปหาหมออะไรถึงจะหายขาด อันนี้บอกเลยว่า ขนาดหมอที่รักษาเราคนนั้นเค้ายังบอกเลยว่า "รักษายังไงก็ไม่หายขาดหรอก ทำได้แค่ทุเลา เปลี่ยนยาไปเรื่อยๆ ทำใจนะ" ...

แต่เราก็ถือว่าโชคดีหละนะที่หายได้ สำหรับคนอื่นเราก็ไม่ชัวร์ว่าถ้าทำแบบเดียวกัน หาหมอคนเดียวกัน แล้วมันจะหาย เพราะแต่ละคนก็มีต้นเหตุต่างกันไป ยังไงก็ลองหาหมอรักษาดูกันละกันจ้า

ไมเกรนทุเลาจนเกือบหาย

ใครรู้จักเราก็คงรู้ว่าเราเป็นคนขึ้นชื่อว่าไมเกรนมากๆ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาตลอด พูดถึงเนย พูดถึงไมเกรน

เป็นโรคที่ทรมานและน่ารำคาญมาก ช่วงที่เป็นหนักนี่คือเป็นอาทิตย์ละ 7 วัน ... a.k.a. เป็นทุกวัน และก็ไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ เป็นต่อเนื่องกันเป็นปีๆ บางวันก็เกิดจากตัวกระตุ้น บางวันตื่นมาก็เป็นเลย

ก็ต้องพึ่งยา ไม่งั้นใช้ชีวิตไม่ได้ แต่ ... ยาทุกตัวล้วนมีผลข้างเคียง

Ponstan มีผลต่อกระเพาะ Cafergot มีผลต่อหลอดเลือด Imigran มีผลต่อกระเป๋าตังค์ ...

จนเริ่มรู้สึกตัวว่ากินยาเยอะเกินไปละ ยาพวกนี้กินเยอะๆก็ไม่ดี สักสองปีที่แล้วก็เลยตัดสินใจลดยาลง ปวดก็ปวด แล้วหาทางรักษาทางเลือก เช่น นวด ฝังเข็ม บลาๆๆ

มีคนส่งอะไรมาให้อ่านเยอะ กินกาแฟเอย อาหารโน่นนี่เอย แต่พูดเลยว่ามันเหมือนการเอาเข็มไปจิ้มตึกให้มันถล่มแหละ มันเป็นแค่เรื่องตามหลักการ สารโน่นนี่จะช่วยลดได้ ทฤษฎีอาจจะใช่ แต่ทางปฏิบัติ ต้องกินกาแฟเป็นแกลอนมั้งถึงจะดีขึ้นได้ มันใช้จริงไม่ได้สักอย่างเลย

แต่ก็ยังพยายามหาวิธีอื่นมาเรื่อยๆ ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ จนเจอว่าปัญหาไมเกรนของเรามันเป็นที่กายภาพ สุดท้ายตอนนี้อาการไมเกรนลดลงเหลือเพียงเดือนละ 2-3 ครั้งเท่านั้น เจอวิธีที่ได้ผลที่สุดคือ


(1) ปรับท่านั่ง
- ไมเกรนเป็นเรื่องทางกายภาพ Office Syndrome เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เกิดไมเกรนได้ ปรับท่านั่งให้ถูกสุขลักษณะ จะช่วยให้ต้นเหตุ


(2) นวดเฉพาะจุด
- คนเป็นไมเกรนจะรู้ดีว่าเราจะสามารถรับรู้ถึงเส้นที่วิ่งขึ้นไปยังจุดที่เกิดไมเกรนได้ ก็อาศัยจังหวะนั้นแหละ ไล่จุดลงมาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่กดแล้วปวดตรงขมับ ตรงนั้นเองที่เป็นปมที่ทำให้เกิดไมเกรน อย่างเนยเป็นทีท้ายทอย สะบักหลังและสะบักนอก เลยเข้าอายุรเวชบ้าง นวดแผนไทยบ้าง งัดสะบักที่จมขึ้น ทำซ้ำมาเรื่อยๆสองปีเห็นจะได้ ตอนนี้พังผืดที่หมออายุรเวชเคยบอกว่าเป็นเยอะมาก ก็กลับกลายเป็นว่า "มีบ้าง" เท่านั้น เชื่อว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการนวดแผนจีนในตอนนั้นด้วย


(3) ออกกำลังกาย(ให้ถูกท่า)
- ช่วงที่ผ่านมาตัวเรามีโอกาสได้เข้าฟิตเนสไปออกกำลังกายเรื่อยๆ ผลคือส่วนที่มีปัญหาทางกายภาพต่างๆก็เริ่มทุเลาลง ส่งผลให้ตัว Trigger ไม่สามารถดึงไมเกรนให้กำเริบออกมาได้ อย่างไรก็ตาม ต้องออกให้ถูกท่า ออกให้เป็นนะ ไม่งั้นจะเป็นหนักกว่าเดิม เพราะกลายเป็นกายภาพแย่ลงแทน บอกว่าออกกำลังกายก็จริง แต่เรารู้สึกเหมือนทำกายภาพบำบัดด้วยตัวเองมากกว่า


(4) ยืดสะบัก
- นั่งทำงานอยู่ก็ทำกายภาพบำบัดได้นะ สะบักเป็นส่วนที่มนุษย์ทำงานทั้งหลายจะเกิดปัญหา เราก็เป็นหนึ่งในนั้น เยอะซะด้วย ก็เลยไปศึกษาหาท่ายืดสะบักมา พบว่าท่านี้เวอร์คสุด เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกเลย รู้สึกดีมาก ทำงานแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ทำท่านี้เล่นๆสัก 2-3 นาที แล้วก็ทำงานต่อดูนะ

สำหรับเราแล้ว ท่านี้ทำให้สะบักซึ่งเป็นจุดกำเนิดของไมเกรนเราไม่ติดอีกต่อไป การทำงานถึงจะหนักแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้เกิดไมเกรนได้


(5) หนีให้ห่างทุกสิ่งเร้า
 - ไมเกรนเป็นโรคที่มีสิ่งเร้ากระตุ้นกายภาพให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น เสียงที่ดังเกินไป แสงที่จ้าเกินไป การนอนไม่พอ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ กล้ามเนื้อตึงขึ้น เส้นประสาท Sensitive ขึ้นหรืออะไรก็ว่าไป แล้วมันก็พัฒนามาเป็นไมเกรนให้เรารู้สึก

คนเป็นไมเกรนทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไวต่ออะไร อย่างเราไวต่อแสงมาก แค่มีไฟส่องแว้บเดียวก็เป็นไมเกรนได้แล้ว รองลงมาก็คือเสียง ถ้าเจอเสียงดังมากก็สามารถล้มลงได้ทันที (อย่างเช่นตอนม็อบนอกหวีด เจอเป่าใส่ในรถไฟฟ้าถึงกับร่วงลงไปเกาะเสา) แตรนี่ก็ด้วย (แถมชอบบีบกันจั๊งงง ไม่เคยคิดเกรงใจคนเดินเท้า) ก็เลยปรับเปลี่ยนชีวิตด้วยการ ใส่แว่นกันแดด และ ใส่หูฟังตลอดเวลา

ที่บอกว่าตลอดเวลานี่คือแม้แต่ที่ร่มก็ใส่ ไม่ได้จะหล่อจะเท่อะไร มันคือการป้องกัน

ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงทุกสิ่งเร้าเท่าที่เป็นไปได้ครับ ยังไงถึงไมเกรนจะดีขึ้น แต่ถ้าเจอสิ่งเร้าแรงๆเข้า ก็กลับมาเป็นได้เหมือนกัน อย่างเนยตอนไปเกาหลีปลายเดือนที่แล้ว เป็นไมเกรน 9 วันรวดเลยจากการนอนไม่พอ


(6) หนีความเครียดซะ
 
- ฟังดูจับต้องยากสุด แต่ข้อนี้กลับสำคัญที่สุด ค้นพบว่าความเครียดนี่แหละเป็นสิ่งเร้าที่ดีที่สุดของไมเกรน ไม่ต้องไปเจอแสงสีเสียงอะไร ขอแค่นั่งทำงานแล้วเครียด ก็เป็นไมเกรนจนลุกไม่ได้ได้เหมือนกัน

ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดจากภายใน ใส่แว่นกันแดดป้องกันไม่ได้ ใส่หูฟังป้องกันไม่ได้ ทั้งหมดทั้งมวลเราต้อง "ลดความเครียดด้วยตัวเองให้ได้"

ความเครียดที่มนุษย์เจอกันบ่อยสุดก็คงไม่พ้นเรื่องของงาน ชีวิตหลังออกจากงานของเรานี่ไมเกรนลดลง 90% เลย ถ้ายังต้องทนกับงานอยู่ ก็หาทางรับมือกับความเครียดให้ได้ ไม่งั้นเสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตนะ

ถ้าคิดว่าออกจากงานแล้วไปทำงานที่อื่นที่ความเครียดน้อยลง การออกจากงานก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ ;)


เป็นเรื่องดีๆในชีวิตอีกเรื่อง ตอนนี้ทางกายภาพเหมือนได้ร่างใหม่ ถึงจะยังอ่อนแออยู่บ้าง แต่พอไม่มีโรคที่คอยบั่นทอนชีวิตประจำวันแล้ว อะไรๆก็ดีขึ้นตามลำดับครับ ได้ทำอะไรอย่างมีความสุขขึ้น Break Limitation ได้ รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่มีอุปสรรคทางกายละ

ตอนนี้ก็เหลือแค่จิตใจหละ ^^


อโรคยา ปรมาลาภา การกินน้ำ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Jul 29, 2014, 17:33
296583 views
ความแตกต่างระหว่าง "ความเครียด" (Stress) และ "ซึมเศร้า" (Depression)
Oct 20, 2014, 20:41
16169 views
[Geek] Best Practices ของการทำ Push Notifications บนแอนดรอยด์
0 Comment(s)
Loading