ถึงแอนดรอยด์จะกิน Market Share สูงสุด นำห่าง iOS ไปแบบไม่เห็นฝุ่น แต่ถ้าถามถึงพลังในการกำหนดตลาด ต้องยกให้เค้าจริงๆ "แอปเปิ้ล"
ก็หลายปีมาแล้วนับจากที่ Steve Jobs จากไปแล้วเราไม่เห็นอะไรดีๆว้าวๆจากฟาก Apple อีกเลย
แต่วันที่ 9 ที่จะถึงนี้ งานเปิดตัว iPhone 6 (คงชัวร์แล้วหละ) น่าจะสร้างปรากฎการณ์อะไรใหม่ๆ
สิ่งที่เปลี่ยนโลก ส่วนตัวคิดว่ามีชิ้นเดียว แต่เป็น "ชิ้นใหญ่มาก" จนน่าจะเปลี่ยนโลกในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ได้เลยทีเดียว นั่นคือการ
ขยาย Ecosystem ไปสู่สิ่งที่จับต้องได้
และโลกที่เปลี่ยน ไม่ใช่แค่โลกของแอปเปิ้ล แต่เป็นโลกทั้งใบเลย
โลกของมือถือมันตันแล้ว (ตันมานานแล้วด้วย) ฝั่งแอนดรอยด์พยายามดันให้คนไปสนใจ Hardware มากขึ้น ปีก่อนก็ผลักดัน Arduino จนคนเอาไปเล่นอย่าเมามันส์
แต่ปัญหาคือส่วนใหญ่เอาไป "เล่น" นี่แหละ ก็พูดได้เลยว่าไม่ Mass ...
ปีนี้ก็เปิดตัวด้วย Mechanic สุดฮือฮา ซึ่ง ... ไม่ส่งผลอะไรต่อ End User หรือ Developer เลย (เป็นการโชว์ว่า Take Over บริษัทหุ่นยนต์ไปแล้วนั่นเอง)
ทั้งนี้สาเหตุเพราะ ผู้ใช้ฝั่งแอนดรอยด์มี Character อย่างนึงคือไม่สามารถกำหนดเทรนด์ตลาดได้ (ยกเว้นไว้เรื่องนึงคือกำหนดทิศทางมือถือราคาถูกลงๆอย่างเดียว หากไม่มีแอนดรอยด์วันนั้น คงไม่มี Zenfone ในวันนี้ เย้ เย)
ในขณะที่ ผู้ใช้ฝั่ง iOS ส่วนใหญ่มีความเป็นหนึ่งเดียว ไม่มี Fragmentation ที่สูงมากอย่างแอนดรอยด์ที่แม้แต่เป็นแอนดรอยด์เหมือนกันยังทะเลาะกันเอง ไม่ต้องมาเรียนรู้ว่ารุ่นนี้ใช่ไอ่นี่ได้เปล่าๆๆๆให้ปวดหัว 90% ใช้ร่วมกันได้ พอรุ่นใหม่ออกมาก็ขายรุ่นเก่าทิ้งไปใช้รุ่นใหม่ ทำให้ผู้ใช้ฝั่ง iOS มี Loyalty ที่ค่อนข้างสูงถึงสูงมาก เวลา Apple ทำอะไรออกมา คนก็จะหันไปใช้กันหมด (แต่ก็ไม่ทั้งหมด เช่น Passport ...) อีกทั้งการออกแบบของแอปเปิ้ลก็ทำออกมาใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องเรียนรู้อะไร ใช้ได้เลย ผู้ใช้กลุ่ม Mass จึงเข้าถึงได้แบบง่ายมาก
พอมี Demand ตลาดก็เปิดออก ผู้ผลิตก็หันมาทำอะไรออกมารองรับสิ่งเหล่านั้น
ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ใช้ฝั่ง iOS จึงเป็นผู้ที่กำหนดตลาดได้อย่างดี เวลา iOS ทำอะไรออกมา
ที่ผ่านมา ในตลาดมือถือมีแต่ฝั่งกูเกิ้ลที่ผลักดันการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นไม่ว่าจะการคุยกับ Arduino หรือการใช้ NFC แต่ก็ไม่สำเร็จเท่าไหร่นัก
โปรดักส์ฮาร์ดแวร์ที่เป็นโปรดักส์เกี่ยวข้องกับมือถือก็เป็นอันต้องมีอยู่และดับไป มีอยู่และดับไป จะมีก็แต่ที่เป็นเฉพาะทางและมีตลาดที่เปิดอยู่แล้วอย่างตลาดสุขภาพ (พวก Fitness Tracker เอยอะไรเอย)
เพราะอะไร? ก็เพราะ End User ไม่มี Awareness เกี่ยวกับ Hardware นั่นเอง มือถือมันก็พอแล้ว ใช้ของที่อยู่ในมือกันไป จิ้มๆก็จบ โอนะ
แต่จากนี้ตลาดมือถือจะเปลี่ยนไปด้วย Policy ที่เปลี่ยนไปคนละเรื่องของแอปเปิ้ล ซึ่งจะเป็นการกำหนดทิศทางโลกต่อจากนี้
เปลี่ยนไปอย่างไร? มาดูกัน
หมายเหตุ: ทั้งหมดเป็นการ Predict ไม่ใช่ข้อมูลลับจากแอปเปิ้ลแต่อย่างใด แค่อยากจะเขียนไว้ให้จับตาการเปิดตัวครั้งนี้ให้ดีเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักพัฒนา ตัวเราว่ามันสำคัญ
ระบบที่ "เปิด" ขึ้นของ iOS 8
การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ จะกี่ปีกี่ชาติก็ไม่อาจยิ่งใหญ่เท่า "การเปลี่ยนแนวคิดของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์" เพราะนั่นคือที่มาของนวัตกรรม การลุยไปสู่ความไม่รู้ การไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ iOS มาพร้อมกับระบบปิด จะปิดอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ปิดอยู่นั่นแหละ !
แต่การเปิดตัว iOS 8 ก็ทำให้เราต้องว้าวจากการเปิด OS มากขึ้นชนิดที่ว่าถ้า Steve Jobs ยังอยู่คงจับคนคิดดีดไข่ 30 ทีติด
สิ่งที่เปิดขึ้นและทำให้เราเห็นชัดเจนเลยคือ 3rd Party Keyboard ตอนนี้นักพัฒนาเขียนคีย์บอร์ดเข้าไปเพิ่มได้แล้วผ่าน App Extensions (หลังจากผ่านไป 6 ปี ...)
มันเป็นอะไรที่หงึมงึมหงึ่มงึ้มมาก พูดไม่ถูก ฝั่งคนใช้แอนดรอยด์อาจจะคิดว่า "นี่แอนดรอยด์ทำได้มากี่ปีแล้ว มันน่าสนใจอะไร"
นั่นแหละครับที่น่าสนใจ iOS 8 มีความเป็นแอนดรอยด์สูงขึ้นมาก มีเรื่องของการคุยกันระหว่างแอพฯ การทำงานแบบเบื้องหลังสมบูรณ์แบบ ฯลฯ ที่ขัดกับหลักการของ iOS ก่อนหน้านั้นทั้งหมด
อย่างที่บอกว่ามันน่าสนใจเรื่องแนวคิดที่เปลี่ยนไปของผู้กำหนดทิศทางตลาดครับ
ด้วยระบบที่เปิดขึ้นมานี้ ทำให้แอพฯที่ออกมามี Limitation ที่น้อยลง สามารถทำอะไรได้มากขึ้น และนี่แหละครับ ต้นกำเนิดนวัตกรรม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนโลกไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ อันนี้แค่จะชี้ให้เห็นว่ามุมมองของ Apple เปลี่ยนไป
แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนเป็นสองสิ่งที่ Apple กำลังจะกำหนดทิศทางให้ "การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นเป็นเรื่องปกติ" ได้แก่ BLE และ NFC ห้อยท้ายมาด้วย iBeacon
ยินดีต้อนรับสู่โลก Hardware Maker ครับ
BLE
ใช้ Bluetooth กันมากี่ปีแล้วนะ จำไม่ได้ น่าจะเป็นสิบปีละ
Bluetooth มีปัญหากินไฟมากเกินไปมาโดยตลอด ทำให้พวก Standalone Embedded Device ไม่สามารถใช้ Bluetooth ได้ แบตจะหมดก่อนเวลาอันควรเสมอ (งานวิจัยป.โทของเนยพอดีเลย)
แต่พอ BLE (Bluetooth Low Energy) ออกมา โลกก็เปลี่ยนไป ตอนนี้พวก Wearable ก็เลยเกิดขึ้นได้เพราะ BLE มันกินไฟน้อยมากๆๆๆ จนทำให้ Wearable ที่มีแบตเพียงน้อยนิด สามารถอยู่ได้เป็นวันๆ
และ BLE นี้เองที่ Apple เอาไปเป็นมาตรฐานสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกทั้งหลาย จนเกิดเป็น Platform ขึ้นมาให้ใช้กัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ Apple เป็นระบบปิดมาก ไม่สามารถเชื่อมต่อกับอะไรได้เลย
ด้วยเหตุนี้ Hardware Maker ทั้งหลายก็มองเห็นตลาด ผลิตอุปกรณ์ที่สามารถคุยกับ iOS Device ออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ Newbie เอง ก็สามารถเอา Arduino มาคุยกับ iOS ได้ มี SDK ให้ใช้มากมาย
เทคโนโลยีนี้มีมาเป็นปีแล้ว แต่สาเหตุเดียวที่ตลาดนี้ยังไม่เกิดคือเรื่องของ Awareness ครับ และเนยเชื่อว่าการเปิดตัว iPhone 6 และ iOS 8 ครั้งนี้ จะสร้าง Awareness ให้กับผู้ใช้ว่า
การเชื่อมกับอุปกรณ์ภายนอกเป็นเรื่องปกติ
และตลาดก็จะเปิดขึ้นอีก จนเชื่อว่าปีข้างหน้านี้จะมีอุปกรณ์ที่ทำมาเพื่อเชื่อมกับมือถือผ่าน BLE มาเพียบครับ
iBeacon
ต่อยอด BLE เอาไปทำ Location Based Service ระยะใกล้เพื่อเอาไว้ใช้กับพวกร้านค้าในภายในห้างเป็นต้น
เป็นเทคโนโลยีที่มีมาสักพักแล้วตั้งแต่ iOS 7 แต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักเพราะก่อนหน้าตลาดยังไม่พร้อม คนยังคิดไม่ออกว่า iBeacon ใช้ทำอะไรได้ ส่วนใหญ่ที่ทำออกมาก็เป็น Gimmick ขำๆ ใช้แล้วจบไป ไม่คุ้มต่อการทำระยะยาว ก็เลยไม่ค่อยมีใครสนใจ
อีกทั้ง iBeacon ยังใช้ได้แค่กับ iOS Device แต่ปัญหาตรงนี้ก็คลี่คลายลงเมื่อตอนนี้มันใช้กับ Android ได้แล้ว
จากนี้อีกไม่นาน หลังจากที่ตลาด Wearable กระพือขึ้น iBeacon จะเริ่มเป็นเรื่องสามัญมากขึ้นและนั่นแหละ มันจะผุดขึ้นมาดั่งดอกเห็ด เราไม่รู้ตัวหรอกเพราะมันเป็นเรื่องของร้านค้า
ถ้าถามเรื่องอิมเมจแล้ว iBeacon ยังไงก็ได้ใจร้านค้าไปเต็มๆอยู่แล้ว เพราะแบรนด์ Apple ดู Luxury ดูมีมูลค่า ดูมีสไตล์ เชื่อว่าพวก Luxury Brand อย่าง LV, Chanel จะเอามาเล่นในที่สุด และนั่นจะทำให้ iBeacon กระจายออกไปได้
จับตา iBeacon ไว้ครับ อาจจะมีเทคโนโลยีมาทดแทนจากการที่ตลาด Hardware Maker กระพือ แต่คงใช้เทคนิคไม่ต่างกัน Concept ไม่ต่างกัน (วัดค่า RSSI เพื่อหาระยะห่าง) หากคุณเป็นนักพัฒนา คอยติดตามเทคโนโลยีแนวนี้ไว้ก็ดีครับ
NFC
3-4 ปีมาแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ Android พยายามผลักดัน NFC จากรุ่นแรก Nexus S จนมาถึงทุกวันนี้ มีหลายต่อหลายรุ่นใส่ NFC มา แต่บางรุ่นไม่มี
แต่จนถึงตอนนี้ NFC ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้คนเลือกซื้อเลย ยังเป็นแค่อะไรสักอย่างก็ไม่รู้ ใช้จริงก็แทบไม่ได้ จะมีก็แค่ Android Beam ที่ส่งข้อมูลหากันได้ แต่ก็ไม่ได้ใช้กันบ่อยขนาดนั้น คนก็ไม่ค่อยรู้จักกันอยู่ดี
สรุป NFC ไม่เกิด ...
เคยพูดไว้นานละว่า
ปัจจัยเดียวที่ NFC จะเกิดได้คือ Apple ใส่ไว้ใน iPhone
และจากข่าวหลุดที่ผ่านๆมา มีแนวโน้มสูงมากว่า NFC จะมาฝังไว้ใน iPhone 6 และรุ่นถัดไปจากนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก(และประหลาดใจเล็กๆ)
NFC มีประโยชน์หลายอย่าง อย่างแรกที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือการใช้งานร่วมกับ Bluetooth
BLE ก็ยังคงเป็น Bluetooth ถึงตัว 4.0 จะ Pair ง่ายและเร็วกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังต้อง Pair อยู่ กว่าจะ Pair เสร็จก็หอบหืด
ตลอดเวลาที่ผ่านมา NFC เป็นเทคโนโลยีที่ทำงานคู่กับ Bluetooth เรื่องการ Initiate Pairing ได้อย่างน่าอัศจรรย์
ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเหตุผลหลักที่ Apple จะเอา NFC มาฝังไว้ใน iPhone 6 ก็คือเรื่องนี้เป็นหนึ่งเรื่องหลัก
แต่ถ้าผนวกกับวิชั่น "ระบบที่เปิดขึ้นของ iOS" เนยก็คิดว่า Apple น่าจะเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึง NFC ได้ เอาไปใช้ได้อย่างอิสระ
หาก Apple เปิดตัว iPhone 6 พ่วงมาด้วย NFC และเปิด API ให้เข้าถึงได้ง่ายๆจริง มั่นใจ 70% ว่าตลาด NFC น่าจะเกิดแน่ๆ
ทั้งนี้คุณสมบัติหนึ่ง(รวมถึงเป็นปัญหาด้วย)ของ NFC คือ "บริการจะเกิดจากฝั่งที่เป็นผู้ให้บริการที่กล้าลงทุนใน Hardware"
ต้องรอลุ้นว่าผู้มีบริการในมือจะยอมลงทุนใน Hardware มั้ย แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านๆมา ถ้า Apple ทำอะไร แบรนด์ต่างๆจะเชื่อถือและกล้าลงทุน
เมื่อตลาดเปิดออก เชื่อว่า Hardware ที่ทำงานคู่กับ NFC ก็จะผุดออกมาเรื่อยๆครับ
แต่สำหรับตลาด Mobile Payment ส่วนตัวไม่เชื่อว่ามันจะเกิดเร็วๆนี้ ถึงระดับ Apple จะ Growth Hacking ได้ด้วยการหว่าน NFC Card Reader ทุกร้านในห้างดังๆได้ แต่ก็คงไม่ช่วยให้ Mass ได้ ต้องใช้เวลาอีกมากกว่าจะเสถียร อีกนานมากกว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้
แต่อย่างน้อยก็คงเป็น Mobile Payment Pioneer ได้ และใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปีที่จะทำให้ Mobile Payment กลายเป็นเรื่องปกติได้ รู้ตัวอีกทีเราอาจจะเอามือถือจิ้มแทนทุกอย่างแล้ว
สิ่งที่คาดหวังคงไม่ใช่ Hardware ที่กระทบ Ecosystem ใหญ่ขนาด Mobile Payment ส่วนรวม แต่คงเป็นแบบเฉพาะทางเช่นที่ Rabbit ทำอยู่ หรือตู้ Vending Machine ที่ใช้ NFC จ่ายได้ (Plug กับ Rabbit ก็ได้อีก) พวกนี้ใครมีบริการอยู่ในมือก็ทำได้เลยหนะ
งานนี้คนที่ทำ Virtual Wallet สบายครับ เพราะเมื่อมันโตแล้ว คนนั้นจะกลายเป็น King ของตลาดทุกตลาดเลย เพราะทุกที่ต้องใช้ Payment หวังไว้เล็กๆว่าจะเอามือถือขึ้นขนส่งสาธารณะบางประเภทได้
... ถ้า NFC ออกมาจริงๆ ยุให้ True Money ทำเป็น Platform ออกมานะครับ ...
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูวิชั่นของ Apple ถ้า NFC ไม่เปิด API ก็คงจบแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี ไปเล่น BLE กันเถอะ (แต่มันก็ไม่ได้ทดแทนกันได้ขนาดนั้นอ่านะ NFC ยังจำเป็นสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการ Fast Initiation อยู่ แต่ถ้าท่าน Apple ไม่อนุญาต โลกก็ไม่อาจหมุนไปทางนั้นได้ ... เหะๆ)
ประโยชน์ตกที่แอนดรอยด์
เนยไม่ใช่คนที่มานั่งสนใจว่าแอนดรอยด์หรือ iOS ดีกว่า มันหมดวาระเรื่องนี้ไปนานแล้ว เนยรักทุกคนค่ะ
ประเด็นตอนนี้คือทิศทางของโลกข้างหน้าจะเป็นยังไงต่างหาก เพื่อเตรียมรับมือและปรับตัว ซึ่งแอปเปิ้ลเป็นคนที่กำหนดทิศทางได้ดีมาโดยตลอด เชื่อว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
และทิศทางนี้จะไม่ได้กระทบแค่ฝั่ง Apple หากแต่ Android ก็จะได้รับผลบุญไปด้วย หรือเอาเข้าจริงๆ ประโยชน์เต็มๆจะอยู่ฝั่งแอนดรอยด์เลยหละ
โดยแอนดรอยด์จะมีอยู่สามอย่าง
1) NFC ได้ใช้แบบจริงจังกันสักที - ตอนนี้มือถือแอนดรอยด์ในตลาดมี NFC กันเยอะมาก บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามือถือมี NFC อยู่ ก็คือทุกอย่างพร้อมแล้ว รอแค่ตลาดเปิด คนใช้แอนดรอยด์ก็เตรียมฟินกันได้
2) เครื่องใช้ไฟฟ้าเตรียมรันแอนดรอยด์กันให้พรึบ - Android ไม่ได้จำกัดแค่มือถือแล้ว ตอนนี้เริ่มกระจายไปที่ Wear และ Auto แน่นอนว่าอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์หรือหม้อหุงข้าว ก็เริ่มมีการ Embed แอนดรอยด์เข้าไปแล้ว อุปกรณ์ใหม่ๆที่จะทำขึ้นมาก็เพื่อตอบรับ NFC (เช่น Vending Machine ที่เอามือถือแปะแล้วตัดเงินทันที) ส่วนหนึ่งก็จะรันแอนดรอยด์นี่แหละ ก้าวเข้าสู่โลก Android Everywhere เข้าไปอีกขั้น
3) Wearable ที่ใช้งานได้จริงผุดขึ้นมาเพียบ - ตอนนี้ Wearable หาทางของตัวเองอยู่ บางรายก็หาทางเจอละ ... ว่าควรเลิกทำ ส่วนบางเจ้าก็ไปต่อได้ ถ้าตลาดตรงนี้พร้อม เราคงจะได้เห็น Wearable ที่ใช้งานร่วมกับแอนดรอยด์ได้เพิ่มขึ้นมาอีก การใช้งานก็จะฟินขึ้นมาอีก
งานนี้ถ้าแอปเปิ้ลทำให้ตลาดนี้เปิดได้ จะกระทบไปทั่วโลกเลยหละ อย่างที่บอก มันเป็นการ "กำหนดทิศทางตลาดในอนาคต" ถึงแอปเปิ้ลจะเป็นคนกำหนด แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจะไม่ใช่แค่แอปเปิ้ลเท่านั้น แต่เป็นทั้งโลก
อาจจะผิดหมดเลย
อย่างที่บอก มันคือ Prediction สิ่งที่พูดมาอาจจะผิดหมดเลยก็ได้ แต่สิ่งที่ค่อนข้างมั่นใจคือการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเปลี่ยนโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อยากให้จับตาดูครับ วันที่ 9 นี้น้อ ถ้ามีแรงและมีเวลา จะทำเป็นวีดีโอสรุปออกมาขอรับ
ส่วนคืนนี้ มีงานเปิดตัว Note 4 น้อ หากมี Wow factor เยอะก็จะทำเป็นวีดีโอออกมาเช่นกันครับ คอยติดตามกันได้ๆ ^_^