ช่วงนี้เป็นช่วงชีวิตที่เหนื่อยพอสมควร รับงานพูดเยอะมาก ตามความตั้งใจว่าที่จะไปสิงคโปร์เพื่อเรียนรู้และกลับมาแบ่งปันสิ่งที่เรียนรู้ให้กับที่ไทย แต่วันนี้คิดว่าคงเป็นวันสุดท้ายของฤดูกาลนี้ จากนี้คงไม่รับงานพูดไปอีกสักพักหนึ่งครับ เพราะคิดว่าได้ผลตามจุดประสงค์ที่ตัวเองต้องการแล้ว เลยขอมาสรุปแนวคิดตัวเองที่ไปพูดในงานต่างๆเสียหน่อย
ผมเป็นคนที่ทำ Startup มาสองปี ทั้งใน Environment แบบไทยๆ กับใน Environment แบบสิงคโปร์ เห็นอะไรแตกต่างทั้งวิธีการและผลที่ออกมา
สังเกต เข้าใจ และยอมรับ ว่าคุณภาพ Startup ไทยยังไม่ดีนัก และก็พบว่าสาเหตุใหญ่ๆอันหนึ่งก็เพราะจาก Environment นี่เอง
การพูดในฤดูกาลแรกที่ผ่านไปนั้น เป็นช่วงที่ผมเห็นอะไรบางอย่างในสังคมไทย (ที่เห็นมานานแล้ว แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขจริงๆก็หลังจากกลับจากสิงคโปร์) ที่ว่าถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนซะตั้งแต่ตอนนี้ ยังไง Startup Ecosystem ในประเทศนี้ก็คงจะไปได้ลำบากพอสมควร
ที่ผมเห็นว่ามันสำคัญ เพราะมันเป็นพื้นฐานที่อยู่ในจิตใจของ Startup ทุกคน ควรจะรู้และเข้าใจก่อนจะดำเนินการใดๆต่อไป ถ้าจะฝังเมล็ดอะไรก็คงต้องตอนนี้แล้ว ช้ากว่านี้ก็คงไม่ดี
และนี่เป็นสิ่งที่อยากให้ช่วยกันปรับใน Culture ของ Startup Ecosystem ในไทยครับ
ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว - ไปกี่งาน ก็จะพูดเรื่องนี้ไป พูดไปพูดมาจนรู้สึกเอือมคำพูดตัวเองไปละ แหะๆ
โอกาสที่ Startup จะประสบความสำเร็จมันมีน้อยมากนะครับ เป็นอะไรที่มีความเสี่ยงสูงมาก แต่ทำไมเมืองนอกก็ยังลงกับ Startup กันอยู่ ทั้ง Investor และ Startup Company เอง (จนต้องมีกฏหมายป้องกัน Bubble กันเลยทีเดียว)
เพราะคนไม่ยอมแพ้กันหนะครับ ล้มเหลวก็ยอมรับ แชร์เรื่องราวให้รู้ว่าเพราะอะไร นอกจากจะศึกษาว่าควรจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องศึกษาว่าอะไรไม่ควรทำด้วยเช่นกัน
เมื่อล้มเหลว พลาดพลั้ง ก็เรียนรู้กันไป แล้วเริ่มต้นใหม่ จนสุดท้ายได้ผลงานที่ประสบความสำเร็จครับ
โลกนี้มีใครบ้างที่เรียนอนุบาลแล้วต่อด็อกเตอร์เลย ... ทุกอย่างมันต้องมีลำดับขึ้น ทุกวันมันต้องมีการเรียนรู้ ถ้ากลัวกับการล้มเหลว ขั้นแรกก็คงจะกลิ้งกลุกๆๆๆๆลงมา แล้วก็ไม่กล้าขึ้นไปอีก
ทำไมผมถึงคิดว่ามันสำคัญจนถึงขั้นต้องเน้นย้ำพูดทุกงาน? เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจและเตรียมตัวไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่งานด้านนี้หนะครับ จะไปบอกวันสุดท้าย นั่นเรียกว่าปลอบใจ และเราก็จะสูญเสียคนดีๆมีความสามารถไปอีก เหมือนเช่นที่เสียไปไม่หยุดในตลอดสิบกว่าปีมานี้
แต่ความล้มเหลวที่เกิดจากการทำไม่เต็มที่ หรืออินดี้ กุเบื่อ อะไรพวกนี้ ไม่ใช่ความล้มเหลวที่ยอมรับได้นะครับ มันเรียกว่าล้มเลิก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชม
สุดท้าย คำที่อยากจะบอกกับหัวข้อนี้คือ "ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คนจะจำคุณได้ในวันที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น"
ไม่ว่าความล้มเหลวจะสวยงามเพียงใด แต่เป้าหมายของทุกคนคือความสำเร็จนะครับ สู้เค้า ทุกคน =)
จงช่วยกันและกัน - Ecosystem นี้มีเรื่องดีๆอย่างนึงคือ คนจะคอยช่วยกัน คอย Connect คนเข้าหากัน คอยสร้างโอกาสให้กันและกัน
และทุกคนสามารถมีส่วนในการช่วยให้ Ecosytem นี้ดีขึ้นได้ อย่างแรกคือ ช่วยอะไรใครได้ก็ควรช่วยครับ
เบื้องต้นนะ การเจอกัน คุยกัน บางคนคุยไม่เก่ง เราก็ควรชวนเค้าคุย ให้เค้าเกิดความกล้า ไม่ใช่ไปด่าเค้าว่าพูดไม่รู้เรื่อง สุดท้ายเราจะได้คนที่เก่งและพูดรู้เรื่องขึ้นมาเพิ่มอีกหนึ่งคน ที่พร้อมจะส่งต่อสิ่งดีๆให้คนอื่นครับ
หรือถ้ามี Connection รู้จักกับใครแล้วคิดว่ามีประโยชน์ต่อ Startup รายอื่นๆ ก็ควรจะช่วย Connect อย่างไม่รีรอครับ
มีโอกาสใดที่จะช่วยกันได้ อย่าลืมช่วยกันนะครับ =)
การตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ Founder - Mentor ในไทย จากที่ประสบมา ถ้าไม่ได้มาจากสาย Startup ตรงๆ จะให้คำแนะนำที่ค่อนข้างไม่เข้าใจการเป็น Startup กล่าวคือ มักจะกำหนดทิศทางให้ Startup เสร็จสรรพ แทนที่จะให้คำแนะนำให้ไปศึกษาต่อและตัดสินใจเอง
ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง แต่เปล่าเลย ไปถามมาหลายคนในระดับผู้คร่ำหวอดในวงการ ก็บอกแบบเดียวกัน
ความจริงอย่างหนึ่งคือ สำหรับ Startup แล้ว Founder เป็นใหญ่ที่สุดครับ ไม่ใช่ใหญ่แบบอวดก้าง แต่ใหญ่แบบ ต้องเป็นคนตัดสินใจ ส่วน Mentor เป็นคนแนะนำจากประสบการณ์ที่มี ให้ข้อมูลอย่างให้เกียรติ และห้ามพูดทำลายกำลังใจเป็นอันขาด ถึงแม้ผลงานนั้นดูแล้วจะไปไม่รอดแน่ๆ ก็ควรจะให้ชิ้นของข้อมูลที่ให้ Founder ได้ไปศึกษาและตัดสินใจเอาเองว่าจะทำต่อหรือหยุด เห็นคนที่มีอนาคต มีผลงานเจ๋งๆ ต้องล้มเลิกไปกลางคันเพราะคำพูดของคนที่ไม่เก่งกว่าแต่อาวุโสกว่ามามากแล้วครับ ไม่อยากให้เกิดกับสังคม Startup ไทยอีกเลย
ให้ Keep in Mind ไว้ว่า ถ้า Mentor เป็นคนเปลี่ยนโลกได้ เค้าก็คงเปลี่ยนเองไปแล้ว Founder ต่างหากที่จะเปลี่ยนได้ และการที่ Founder ตั้ง Startup ขึ้นมา นั่นก็แปลว่าคนกลุ่มนี้มีความเชื่อ ความศรัทธาและความรักในตัวงานเหนือคนอื่นใด อย่าให้คนอื่นมาตัดสินและกำหนดทิศทางของตัวเองได้ครับ แต่จะหัวแข็งจนใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง นั่นก็ไม่ใช่เหมือนกัน ต้องรู้จักทางตรงกลางนะครับ
อันนี้คงต้องปรับกันไปอีกสักระยะ ทั้ง Position ของ Mentor และ Founder ก็ฝากไปถึงทั้งสองฝ่ายให้ปรับจูนตรงนี้ให้ตรงกันครับ
Networking - Culture หนึ่งของคนไทย ที่ขัดต่อการเติบโตของ Startup Ecosystem คือ ความขี้อายและไม่กล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้า หารู้ไม่ว่า การทำความรู้จักกับคนใหม่ๆเสมอ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยิ่งคุณรู้จักคนเยอะ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จก็มีเยอะมากเช่นกัน
หากมีโอกาส มีงานใดก็ตาม แล้วเรามีโอกาสเข้าไปร่วมได้ จงเข้าไปร่วม และถ้าเข้าไปร่วมได้ก็อย่าลืมพูดคุยทำความรู้จักกับทุกคน โอกาสทั้งนั้นครับ
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ไปงาน อยากให้ทุกคน "เปิดใจ" ให้กว้างเข้าไว้ พร้อมคุยกับทุกคน พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ พร้อมเสมอที่จะมีคนเดินเข้ามาคุยด้วยและพร้อมเสมอที่จะเดินเข้าไปคุยกับคนอื่นอย่างไม่เขินอาย เพราะหากทุกคนคิดแบบนี้ได้ การจะรู้จักเพื่อนใหม่มันเป็นอะไรที่ง่ายมากครับ ตอนอยู่สิงคโปร์ได้เข้าสู่สังคม Startup ที่เค้ามีมุมมองตรงนี้ทุกคน การเดินเข้าไปคุยกันมันเป็นเรื่องง่ายมาก ขนาดคุยไม่รู้เรื่องเค้ายังพยายามช่วยจนสุดท้ายก็คุยกันรู้เรื่อง เป็นเรื่องที่ดีและน่าประทับใจมากครับ
วันก่อนมีโอกาสได้ไป BBQ Prawn Party ที่ Hubba จะบอกว่าเจ๋งมาก ขอบคุณ Hubba และเหล่า Startup ตัวเอ้ที่ช่วยกันจัดขึ้นมา ขนาดไปไม่ทัน คนกลับกันเกือบหมดแล้ว ยังรู้สึกสนุกและดีใจมากเลยที่มันเกิดขึ้นได้ คราวหน้าไม่พลาดแล้วแน่นอนค้าบบ > <
ก็แค่นี้แหละครับ ^_^ อยากให้ทุกคนช่วยส่งต่อความคิดเหล่านี้ (หากเห็นด้วย) เพื่อปูเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ Ecosystem ไปต่อกันได้
สังเกตดูว่าผมไม่ได้ลงเรื่องวิธีการทำ Startup พวก Lean Startup หรือพวก Prove Traction อะไรเลย สาเหตุเพราะผมยังไม่ประสบความสำเร็จจนมาเล่าเรื่องพวกนั้นให้ทุกคนฟังได้ เล่าไปก็ไม่รู้ว่าจะถูกหรือเปล่า ที่ผ่านมาจึงเป็นการเล่าสิ่งที่มั่นใจแล้วเท่านั้น เพื่อปรับความเข้าใจ ปรับมุมมองความคิด เพื่อให้ทุกคนช่วยกันโตไปได้ใน Ecosystem เกิดใหม่ในไทยนี้ มาร่วมปรับฐานปูพื้นเพื่อที่ร่วมสร้างตึกด้วยกันครับ ของพวกนี้ไม่ใช่คนคนเดียวจะทำได้ ต้องร่วมกัน ต้องช่วยกัน
ที่ผ่านมาก็คิดว่าได้ส่งต่อสิ่งที่อยากจะสื่อไปได้อย่างครบถ้วนแล้ว และได้รู้จักคนต่างๆมากมาย เป็นเวลาที่ดีมากครับ ขอบคุณทุกท่าน
จากนี้จะหายจากงานพูดไปทำอะไรสักพักหนึ่ง เพราะถ้าจะไปอีกกี่งาน ก็คงจะพูดเหมือนเดิมอยู่ดี (แต่ยังคงไปตามงานอยู่เรื่อยๆนะครับ อยาก Networking ^_^) แล้วกลับมาคราวหน้าหวังว่าจะมีโอกาสได้ต่อกับฤดูกาลที่สอง
ว่าด้วยเรื่อง
จะทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ
ครับ
เพราะผมยังเชื่อว่า วิธีที่ช่วย Startup Ecosystem ที่ดีที่สุดคือ การประสบความสำเร็จแล้วมาส่งต่อประสบการณ์ครับ
แค่ยังไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นมั้ย ยังไงถ้าไม่มีโอกาสนั้นจริงๆ ใครสำเร็จแล้วก็อย่าลืมส่งต่อเรื่องราวให้คนอื่นด้วยนะครับ ผมจะไม่พลาดไปฟังทุกงานแน่นอน ^_^
เรามาร่วมสร้างสิ่งดีๆกันเถอะ ขอบคุณคร้าบ มั๊วะะะ