วันก่อนเผอิญกลับไทยด้วยสาเหตุของการ Overstay โดยไม่ได้ตั้งใจ
ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้กลับไปทำอะไรที่ไทย แต่เวลาก็มีแค่ 2 วัน ก็เลยใช้ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า
... ด้วยการไปอยู่โรงบาลวันนึง ... -_-
เผอิญสัปดาห์ที่แล้วเกิดอาการที่ค่อนข้างน่าตกใจสำหรับตัวเองพอสมควรคือ ร่างกายด้านขวาชาทั้งซีก เพิ่งเคยเป็นครั้งแรกในชีวิต ประกอบกับขาไม่ค่อยมีแรง เดินแล้วต้องเอาร่มยันๆ แต่เป็นๆหายๆ และแขนขวาก็ยกไม่ค่อยขึ้น
ก็เลยโดนจับให้ไปหาหมอเพื่อตรวจว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอน Consult หมอ ก็ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเราเป็นไมเกรน แต่ไม่ได้คุยอะไรมาก แค่ยินดีที่ได้รับการยืนยันจากหมอ Neuro โดยตรง
จากนั้นก็มีการตรวจความรู้สึกด้านซ้ายด้านขวา ก็พบว่าไม่ได้คิดไปเอง ด้านขวารู้สึกน้อยกว่าจริงๆ และก็ยกขาไม่ขึ้นทั้งสองข้างจริงๆในการทดสอบให้นอนยกขา ตอนก้มคอก็ร้าวลงมาทั้งหลังอีกด้วย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ประกอบกัน หมอจึงส่งให้ไปทำ MRI สมองและคอ รวมถึงสแกนแบบฉีดสีด้วย
ตกใจเหมือนกัน เพราะตอนแรกตั้งใจแค่จะไปตรวจตับ เนื่องจากเจ็บบริเวณที่เป็นตับ กดแล้วเจ็บ อยู่เฉยๆก็เจ็บ แถมน้ำหนักก็ลงเอาลงเอา อ่อนแอลงอีก ฯลฯ คนที่ทำงานหนักแต่เด็กอย่างเรากลัวอย่างยิ่งที่จะเป็นโรคตับ สุดท้ายหมอก็ให้ตรวจเลือด และเหมือนผลจะไม่มีอะไรผิดปกติ (อ่านผลเลือดเอง)
และทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตรวจตอน 10 โมง ได้คิว MRI ตอนบ่ายสาม อึมครึมเลยเนย ... ไม่ได้กลัว MRI ไม่ได้กลัวเจ็บ ไม่ได้กลัวที่แคบ กลัวอย่างเดียว ... กลัวไม่มีตังค์จ่ายยยยย โดน Quote ราคาไป 38,500 บาท รวมกับค่าหมอค่ายาตอนเช้าก็ 46,000 บาท
แต่ส่วนตัวอยาก MRI สมองมานานแล้ว ด้วยเหตุผลหลักคือไมเกรน ก็เลยตัดใจยอมจ่ายเพราะคงทำครั้งเดียวในชีวิตแล้วหละ(มั้ง)
ก่อนเข้าห้อง MRI ก็มีเอกสารมาให้เซ็นปึกนึง ส่วนใหญ่เป็นการเช็คร่างกายว่ามีปัญหากับเครื่อง MRI หรือไม่ เช่นกลัวที่แคบรึเปล่า กลัวการอยู่นิ่งๆมั้ย บลาๆๆๆ ซึ่งเราก็ผ่านหมด
ก็ร่ายมาซะยาว แค่จะเล่าว่าไปทำ MRI มา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สนุกดีนะ โดนคนขู่มาเยอะว่าอึดอัดมาก หนาวมาก รู้สึกแย่มาก เหงามาก บลาๆๆๆ
ก็จริงอยู่บ้างบางประการ มันเหงานะในนั้น เพราะต้องนอนนิ่งๆถึง 75 นาที แต่ใน 75 นาทีนั้นเอง ตั้งใจจะหลับ แต่ไม่ได้หลับ กลับมีสมาธิ ได้อยู่กับตัวเอง ได้เข้าใจตัวเอง ได้เข้าใจชีวิต เหมือนเป็นอุโมงค์กาลเวลา 75 นาทีแต่รู้สึกเหมือนอยู่ทั้งวัน นี่คือสิ่งที่คิดระหว่างอยู่ในนั้น (คัดพวกที่คิดเรื่อยเปื่อยออกไปแล้ว)
- คนเราเก่งในการทำลายสุขภาพตัวเองด้วยการอ้างว่าทำงาน
- ความรักทำให้โลกสวยงาม
- ความรักไม่จำเป็นต้องจบด้วยการเป็นคนรักเสมอไป คบกันแบบเพื่อนที่หวังดีต่อกันมันยังยั่งยืนเสียกว่า
- หน้าตาเป็นสิ่งไม่จีรัง คนเราเดี๋ยวก็ต้องแก่ก็ต้องเฒ่า
- แต่หน้าตาบางทีก็จำเป็นต้องใช้หาคู่ ดูอย่างสิงโต ดูอย่างนกสิ
- คนหน้าตาดีเป็นคนมีกรรม คนที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็เข้ามาเพราะหน้าตา ใครหน้าตาดีต้องทำใจและเข้าใจ
- คนรวยก็มีกรรม คนเข้ามาเพราะมีฐานะ ไม่ใช่เพราะรักจริง คนรวยต้องกรองคนที่เข้ามาดีๆ
- คนหน้าตาไม่ดีและจน ก็มีคนรักได้เหมือนกัน แต่ถ้ายังเป็นอย่างงั้นต่อไปโดยไม่มีอะไรดีขึ้น สุดท้ายความรักก็สั่นคลอนได้เหมือนกัน
- ความรักมันจำเป็นต้องมีเวลาให้กัน
- ชีวิตจริง เนื้อคู่ไม่จำเป็นต้องได้ลงเอยกัน
- ความรักแม่งยากเนอะ
- อย่าไปอิจฉาคนหน้าตาดี มันไม่ได้บอกว่าเค้ามีความสุข หลายทีเค้ามีทุกข์กว่าเราเยอะ ลำบากกว่าด้วยเพราะต้องเก็บเอาไว้ ไม่สามารถบอกใครได้
- ชีวิตคู่คือความไว้ใจ คือการที่คนสองคนตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน จับมือแล้วสัญญาว่าจะไม่ปล่อย
- คู่รักที่น่าอิจฉาคือคู่ที่รักกัน ไม่ใช่มีแฟนสวยหรือมีแฟนหล่อ
- การรักคนที่หน้าตามีปลายทางคือการเลิกรา
- เงินมันหายาก แต่ใช้ง่ายจัง
- การไม่มีเงินออมมันทำให้ชีวิตลำบาก
- ตอนคนจน(อย่างเรา)ป่วย มันมีความรู้สึกยอมตายมากกว่าอยากติดหนี้
- คำว่าไม่มีตังค์ก็ตายไป มันผุดเข้ามาในหัว
- อิจฉาคนรวยจริงๆ
- รวยไม่ใช่มีตังค์สิบยี่สิบล้าน แค่ไม่มีหนี้ นั่นก็รวยแล้ว
- เรื่องเงินคือต้นเหตุของ 90% ของปัญหาในชีวิตเรา
- ความเท่าเทียมกันในสังคมมันไม่มีจริงหรอก
- โลกนี้ "ดีเกินไป" มีจริง
- โลกไม่ได้สวยงามและไม่ได้เหมาะกับคนดีขนาดนั้น
- จงเป็นคนดี แต่อย่าดีเกินไป ไม่งั้นจะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้
- การหาหมอเป็นการลงทุนชีวิตอย่างหนึ่ง
- การออกกำลังกายและรักษาสุขภาพเป็นการลงทุนที่ดีกว่าและถูกกว่ามาก
- ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป เราก็คงทำงานหนักจนร่างกายทรุดโทรมเหมือนเดิม เพราะเราไม่มีทางเลือกในชีวิตมากขนาดนั้น ต้องก้มหน้ายอมรับ
- ความจนทำให้เรามีวันนี้
- จะกลับไปทำ MOLO ต่อให้เสร็จ
- อาทิตย์หน้าจะสั่งทำเสื้อตามด้วยตุ๊กตา
- บริษัทฉันคือครอบครัว
- อยากมีชีวิตที่เป็นของตัวเองจริงๆ
- เราทำอะไรเป็นเยอะมาก แต่เราไม่เคยใช้ความสามารถเราทำอะไรที่ดีมีประโยชน์อย่างแท้จริงเลย
- ไม่อยากเป็นโปรแกรมเมอร์โดยอาชีพแล้ว
- อยากทำรายการ ให้ความรู้แก่ผู้คน
- อยากเป็นพิธีกร
- อยากเก่งภาษาอังกฤษ
- อยากทำสิ่งที่รักแล้วคนอื่นอยากได้และทำเงินได้
- อยากเก่งเรื่องการแพทย์กว่านี้ แต่ไม่อยากเป็นหมอออออ
- ฉันไม่ชอบการเป็นคนดัง หรือกลัวการเป็นคนดังก็ไม่รู้
- ชีวิตมันสั้นกว่าทำเพื่อเงินไปวันๆ
- ชีวิตมันสั้นเกินกว่านั่งทำให้คนอื่นรวยแล้วตัวเราไม่ได้อะไร
- จุดแข็งของเราคือมองเห็นปัญหาและแก้มันได้
- เราแก่แล้วจริงๆ
- ถึงคนแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่ทีมที่ดี ต้องมีเป้าหมาย ความฝัน ปลายทางที่เหมือนกัน
- ทีมที่สมบูรณ์แบบ ทำอะไรก็สำเร็จเนอะ
- ทีมที่ไม่ดี ทำอะไรก็เจ๊ง
- คนเปิดบริษัทหรือรวมกลุ่มทำอะไรเพื่อผลประโยชน์แต่เพียงอย่างเดียวเค้าคิดอะไรของเค้านะ
- เราไปทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องเป็นไมเกรน
- ทำไมทุกครั้งที่ไปหาหมอ ต้องเริ่มใหม่เรื่องไมเกรนทุกทีเลยนะ
- เราทนอยู่กับไมเกรนมา 19 ปีได้ยังไง
- เราเสียเวลาชีวิตไปกับไมเกรนรวมแล้วเกิน 5,000 ชั่วโมงแล้วนะ เสียดายเวลาจัง
- อิจฉาคนไม่เป็นไมเกรนจัง
- เคยคิดว่าถ้าเราตายไปตอนนี้จะไม่เสียใจ แต่การอยู่ในอุโมงค์นั้นทำให้เรารู้ว่าเรายังไม่พร้อมตาย
- เมื่อไหร่จะทำให้พ่อแม่สบายได้สักทีนะ
- เราฝึกฝนตัวเองมาตั้งแต่สิบขวบ แต่ทำไมเราถึงอยู่แค่นี้จุดนี้นะ
- รู้สึกเจ็บปวดจังที่เห็นคนเลวได้ดีเต็มไปหมด ท้อแท้กับการทำดีนิดหน่อย
- รู้สึกเสียใจที่ทำให้คนที่เดินด้วยกันลำบากเสมอมา ไม่เคยสบายในชีวิตเลย
- อยากหยุดพักทุกอย่างแล้วไปเที่ยวรอบโลก
- เราเพื่อนน้อยจัง แต่เพื่อนทุกคนดีหมดเลย
- กลับไปจะเปิดแฟนเพจให้พ่อ
เหงาๆออกมาจากห้องลำพัง แล้วก็พบแฟนมานั่งรออยู่ด้านหน้าร่วมชั่วโมง ก็ชื่นใจหายเหงาไปได้เปราะใหญ่ๆทีเดียว รักนะ
ไม่ขอพูดถึงผล MRI ละกัน (เพราะยังไม่รู้) เค้านัดเราไปฟังผลวันต่อมา ซึ่งเราบินกลับมาไทยแล้ว คงจะไปฟังผลอีกทีตอนพฤศจิกายนเลย แต่คิดว่า(และหวังว่า)คงไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไร มาอยู่นี่ก็อาศัยออกกำลังกายทุกวันเอา วิ่งๆ แกว่งแขนๆ ถึงจะยังชาอยู่และอาการทุกอย่างยังอยู่ครบ (มีเพิ่มบ้างด้วยนิดหน่อย) แต่ก็หวังจะดีขึ้นสักวัน
ดูแลตัวเองกันด้วยหละเพื่อนร่วมอาชีพทั้งหลาย