ช่วงนี้ได้จดหมาย(อีเมล)จากทางบ้านมาเพียบ บางอันเป็นเรื่องเล็กๆสั้นๆ ก็ตอบไปทางอีเมล แต่อันนี้เป็นเรื่องที่เผอิญอยากเล่าให้ฟังอยู่พอดี เลยขอมาเขียนตอบใน Blog เลยละกัน โดยขอไม่บอกชื่อและประวัติคนส่งเมลมานะ เอาแค่เนื้อหาพอ เพื่อความเป็นส่วนตัวจ้า
ผมติดตาม Blog ของพี่ มาระยะหนึ่งแล้วครับ เห็นพี่มีโอกาสทำ Startup ปลุกปั้น MOLOME จนสำเร็จได้เป็น MOLOME Pte Ltd. จึงอยากรบกวนถามเกี่ยวกับการทำ Startup หน่อยอะคับ
- ปกติการทำ Startup เราคาดหวังรายได้จากอะไรหรอคับ จาก Investor ที่จะมาลงทุนหรือเปล่าคับ คือจริงๆ ผมอยากทำ Startup ที่มีรายได้จากโฆษณา ไม่ก็จากคนที่มาใช้บริการมากกว่า
- สมมติว่าเราหารายได้จากคนที่มาใช้บริการเราได้ เราจำเป็นต้องมี Investor มาลงทุนมั้ยคับ
- Startup ควรจะให้เงินเดือนตัวเองเท่าไหร่หรอคับ
- Startup มีกฎหมายอะไรที่ต้องรู้เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบมั้ยครับ (หรือผมจะคิดมากไป)
- Startup ก็ต้องทำบัญชีใช่มั้ยคับ (อันนี้ผมไม่ค่อยห่วง เพราะมีน้องจบบัญชี)
ถ้าพี่ไม่มีเวลาตอบคำถามของก็ไม่เป็นไรนะครับคือตอนนี้ผมแค่คิดจะเริ่มทำ Startup อยากทำตามความฝันของตัวเองอะคับ ^__^ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย เอิ้กๆๆ
ครับ สำหรับปัญหาที่น้องว่ามานั้น เป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่าน เพราะเป็นวัยที่ได้เจอกับผู้คนมากมาย ไม่แปลกที่จะเกิดความรู้สึกร้อนๆตอนเจอเพศตรงข้าม ปัญหาของการแข็งตัวของ ... เดี๋ยว กุไม่ใช่หมอนพพร ! สตาร์ทอัพบ่มิสม - -
ตื่นเต้นๆ ไม่เคยตอบจดหมาย 555 ก็เดี๋ยวตอบเป็นข้อๆไปละกันนะ วันนี้มาในโหมด Business ไม่ใช่ Programmer อาจจะไม่ชิน แต่เอาน่า เป็นอีกมุมที่ไม่ค่อยเปิดเผย
ปลุกปั้น MOLOME จนสำเร็จได้เป็น MOLOME Pte Ltd.
ความจริงต้องย้ำอีกรอบหนึ่งว่า การเปิดบริษัทไม่ได้แปลว่าเป็นความสำเร็จนะ หากแต่เป็น "จุดเริ่มต้น" ต่างหาก ปลายทางอาจจะเป็นได้ทั้งสำเร็จหรือล้มเหลว จึงอยากให้ปรับความเข้าใจว่าพี่บ่ได้ประสบความสำเร็จใดๆเน้ออออ
ปกติการทำ Startup เราคาดหวังรายได้จากอะไรหรอคับ จาก Investor ที่จะมาลงทุนหรือเปล่าคับคือจริงๆ ผมอยากทำ Startup ที่มีรายได้จากโฆษณา ไม่ก็จากคนที่มาใช้บริการมากกว่า
ความเข้าใจผิดอย่างมหันต์หลายต่อหลายหนที่พี่ได้ยินมาจาก Startup ในไทยคือ "การได้ Investor คือความสำเร็จ" หรือ "เงินจาก Investor คือรายได้" เพราะเวลาได้เงิน Invest ก็จะมีข่าวว่า "ได้เงินลงทุน x ล้านบาท" ฟังดูเงินเยอะงะ ฟังดูร่ำรวยงะ แต่ความจริงมันตรงกันข้ามเลยครับ นักลงทุน(Investor) ให้เงินก้อนนี้มาใช้ในการพัฒนาผลงาน และใช้ในบริษัท ไม่ใช่เป็นเงินส่วนตัวที่ผู้ถือหุ้นจะใช้ทำอะไรก็ได้ แล้วสิ่งที่ Investor ได้ไปก็คือหุ้นของบริษัท
อาจมีบ้างที่ผู้ถือหุ้นได้เงินจากการ Raise Fund ได้ แต่จะเป็นเรื่องของการตั้งราคาหุ้นและเอาส่วนต่างมาเข้ากระเป๋าครับ แต่จะเริ่มเกิดตอน Series A เป็นต้นไป แต่สำหรับ Startup ทั่วไป การได้ Series A ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก เพราะมันต้องพิสูจน์แล้วว่ามันดีพอทั้งแง่คุณภาพและ Business Model
ดังนั้นบอกให้ตรงนี้ว่าการได้ Investor หรือการได้เงินลงทุน ไม่ใช่รายได้นะครับ แต่เป็นการเพิ่มความวุ่นวายให้บริษัทเสียด้วยซ้ำ แลกกับก้อนเงินที่ได้มาเพิ่ม แล้วจะเอาเงินไปทำอะไรกับบริษัทก็ต้องวางแผนกันดีๆ ส่วนใหญ่จะเอาไว้เพื่อ Scale โปรดักส์ครับ เช่นตอนแรกมันรันได้แค่ประเทศไทย อยากจะ Raise Fund สัก 10 ล้านบาทเพื่อขยายไปยังทุกประเทศในเอเซียเป็นต้น
แล้วรายได้คืออะไร? - รายได้ต้องเป็นเงินที่ได้จากผู้จ่ายเงิน(Buyer) ให้กับบริการครับ ซึ่งเขียนว่า Buyer ไว้เพราะมันมีหลายโมเดลมาก ไม่ว่าจะเป็น B2B, B2C, B2B2C หรือกรณีอื่นๆ
B2B คือโปรดักส์ที่ Buyer เป็น Business เป็นองค์กร เช่น LINE ที่เก็บเงินองค์กรเพื่อสร้าง Official Account รวมถึงพวกการโฆษณาทั้งหลาย ก็เป็น B2B เช่นกัน
B2C คือโปรดักส์ที่ Buyer เป็น Consumer เช่น LINE ที่ Consumer จ่ายเงินซื้อสติกเกอร์ หรือเกมที่ผู้ใช้จ่ายเงินซื้อเพชร
B2B2C ยังไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่เท่าที่เข้าใจคือ White Label
กรณีอื่นๆ แล้วแต่ความพิศดารสร้างสรรค์ของเจ้าของจะคิดออกมาได้ อาจจะติดหนี้ไปวันๆแล้วรอขายทีเดียวก็ได้ (ขอให้เร้าใจตามสบายนะ)
และตราบใดที่คนใช้บริการไม่ได้จ่ายอะไร คนนั้นเป็นโปรดักส์ครับ เช่น Google/Facebook/Instagram เป็นต้น
แล้วเป้าหมายใหญ่สุดของ Startup คืออะไร? - มันคือการ "Exit" ครับ คร่าวๆก็คือโดนซื้อ เช่น Facebook ซื้อ Instagram ต้องแยกให้ออกนะ อันนี้ไม่ใช่เงินลงทุน แต่เป็นการ Acquisition ผู้ถือหุ้นได้เงินเต็มๆ คราวนี้ก็แบ่งเงินกันภายในผู้ถือหุ้นได้เลย อีกทางคือเข้าตลาดหุ้นหรือ IPO ก็เห็นหลายอันละที่เข้า
สมมติว่าเราหารายได้จากคนที่มาใช้บริการเราได้ เราจำเป็นต้องมี Investor มาลงทุนมั้ยคับ
เป็นคำถามที่ดี ก็ตอบไปโดยคร่าวๆแล้วนะว่ารายได้ต้องมาจาก Buyer ไม่ใช่จาก Investor ก็จะเกิดคำถามอีกว่าถ้าได้รายได้แล้ว จำเป็นต้องมี Investor มั้ย?
มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมาเหมือนชีวิตทั่วไปของเราเลยอ่ะครับ ขอเล่าเป็นแบบนี้ละกัน
อยู่ดีๆชีวิตก็มีโอกาสได้บินไปเมกาฯวันที่ 20 กันยายนพอดี เห็นโอกาสงามๆว่าถ้าเราไปต่อแถวซื้อ iPhone 5S มาขาย ถ้าหิ้วกลับไปขายที่ไทยนะ ได้กำไรงามๆเครื่องละสองหมื่นแน่นอน
แต่เปิดบัญชีดู โอ้แม่เจ้า เรามีเงินอยู่ 25,000 บาทถ้วน ! นั่งนับนิ้ว แง่ม ซื้อได้เครื่องเดียวเอง นั่งน้ำตาไหล ร้องไห้ นิ้วเขี่ยพื้นที่มุมห้อง สุดท้ายเลยบินไปซื้อมาเครื่องเดียว เอากลับมาขาย ได้กำไร 20,000 บาท เย้ จบ (มีน้อยใช้น้อย)
หรือถ้าน้องบอกว่ามีเงินอยู่ 2,000,000 บาทในบัญชี จะไปซื้อมา 20 เครื่อง ราคารวม 5 แสนบาท น้องบอกว่าจ่ายไหว เลยไปหิ้วมาเรียบร้อย อันนี้เรียกว่า Self Funding ครับ แต่ถ้ากลับมาแล้วขายไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมันนะ ความเสี่ยงอยู่ที่เราเอง อาจจะขาดทุนหรือกำไรเราก็ไม่รู้ อาจจะหิ้วมาปุ๊บแล้วไทยประกาศขายทันทีเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ ...
แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนวิธีคิด อยากซื้อ 20 เครื่องอ่ะ แต่ไม่อยากออกเงินเอง เลยประกาศให้ผู้มีตังค์ได้รู้ว่า "เรากำลังจะไปหิ้วไอโฟนมาขายนะ ใครให้เงินเรายืม เราจะแบ่งเงินรายได้ทั้งหมดให้ครึ่งนึง" ย้ำนะว่า "แบ่งเงินรายได้ทั้งหมดให้ครึ่งหนึ่ง" นั่นคือ หากขายได้แค่เครื่องเดียวในราคา 45,000 บาท ก็แบ่งไปคนละ 22,500 บาท ที่เหลือยังไม่คืนนะจนกว่าจะขายได้ แล้วค่อยแบ่งกัน อันนี้เรียกว่าการหาเงินลงทุนแบบแบ่งหุ้นที่ใช้กันใน Startup Ecosystem ครับ โดนคนที่ให้เงินเค้าจะหวังหุ้นและปันผลกลับไป
ดังนั้น Startup Ecosystem มันดีอย่างตรงที่ว่าความเสี่ยงไม่ได้ตกอยู่ที่ Founder หากแต่ตกอยู่ที่ Investor และนั่นแหละทำให้ Founder สามารถโฟกัสกับงานได้ ไม่ต้องวิ่งไปหาเงินมาหมุนเอง หรือมานั่งเครียดเรื่องเงินที่เสียไปในแต่ละวัน แต่ก็แลกกับหุ้นที่เสียไป และอาจจะแลกกับความวุ่นวายที่ต้องประชุมกับ Investor ทุกเดือนหรือถี่กว่านั้น
แล้วถ้าเราขายได้แค่ 2 เครื่อง เงินที่เหลือเราไม่คืนเค้างั้นสิ? ... ผิดครับ iPhone 5S ที่เหลือทั้งหมด 18 เครื่อง จะถือเป็น Asset บริษัทที่ต้องจ่ายเป็นหนี้คืน Investor เค้าไป แล้วเดี๋ยวเค้าจะแปลงเป็นเงินของเค้าเอง
และระวัง มันต่างกับการให้ยืมแบบกู้ยืม อาจจะมีคนเสนอว่า "ให้ยืม 500,000 บาท แต่ตอนคืนต้องจ่าย 600,000 นะ" อันนี้เป็น "กู้แบงค์ Ecosytem" ครับ ความเสี่ยงก็ตกที่คุณเหมือนเดิม แถมเสี่ยงกว่าด้วย มีดอกเบี้ย
สรุปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องได้เงินจาก Investor ก็ได้ หากคุณมีรายได้จากผลิตภัณฑ์แล้ว แต่ Startup ส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้นับตั้งแต่เดือนแรกหรอก ปกติคุยกันที่ 12-18 เดือน แล้ว 12-18 เดือนนั้น จะเอาเงินที่ไหนมากินมาใช้หรือจ่ายพนักงานหละ?
และหากคุณฝันใหญ่ ฝันเจ๋ง แต่เงินคุณไม่พอ Investor ก็คือทางออกครับ มันเลยเป็น Ecosystem ที่เติบโตเช่นทุกวันนี้
ส่งท้ายด้วยวีดีโอตัวนี้ ลองอ่านดูก๊ะ
Startup ควรจะให้เงินเดือนตัวเองเท่าไหร่หรอคับ
0 บาท ครับ คุณเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ได้ทำงานให้บริษัท ธุรกิจรุ่งคุณก็รุ่ง ธุรกิจร่วงคุณก็ร่วง ดังนั้น Founder จะไม่ให้เงินเดือนตัวเองครับ
แต่ก็ต้องกินต้องใช้นี่เนอะ ดังนั้นรายได้รายเดือนของ Founder Startup ส่วนใหญ่จะปัดไปเป็น Director Fee มากกว่า Salary (เงินเดือน) ครับ หรือถ้ามีเงินใช้อยู่แล้ว ก็คือรอปันผลจากหุ้นเลย
อย่าคาดหวังเงินเดือนจาก Startup ครับ เพราะมันคือความไม่มั่นใจในโปรดักส์ตัวเองแบบกลายๆว่ามันจะหาเงินได้มั้ย
Startup มีกฎหมายอะไรที่ต้องรู้เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบมั้ยครับ (หรือผมจะคิดมากไป)
Startup ก็เหมือนการตั้งบริษัททั่วไปนะ ในการเปิดบริษัทมันไม่มีให้เลือกว่าเราจะเปิด Startup Company เพราะ Company ก็คือ Company ดังนั้นเรื่องกฎหมายก็เหมือนบริษัททั่วไป ... มีสัญญาให้อ่านให้เซ็นเป็นปึก เตรียมตัวโดนฟ้องไว้เสมอ และหาทนายเก่งๆไว้ดูแลเรื่องนี้ไว้เลย
อย่างไรก็ตาม แต่ละประเทศจะมีกฏหมายยกเว้นภาษาเฉพาะกลุ่ม เช่นในไทยมี BOI ในสิงคโปร์มี PIC จะช่วยลดภาษีและได้รับสิทธิประโยชน์อะไรมากมายในการเปิดบริษัท ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกครับ เรื่องเยอะเหมือนกัน
จะมีที่ต้อง Work หน่อยคือเรื่องของการแบ่งหุ้น มีคนถามกันมาเยอะมากเรื่องแบ่งหุ้น จะแบ่งยังไงดี มีคนใหม่จะให้หุ้นเค้ายังไงดี บลาๆๆๆ เพราะการแบ่งหุ้นไม่ดีทำให้บริษัท Startup ทะเลาะกันเองภายในจนเจ๊งมาเยอะแล้ว มีเรื่องที่เรียกว่า Vesting เอาไว้ประกันความเสี่ยงของผู้ถือหุ้นแต่ละคน ในกรณีที่มีคนชิ่งหนีไปไม่ยอมทำงาน แต่พูดตรงนี้คงจะยาวไป ไว้จะมาเล่าให้ฟังเป็นอีก Blog นะครับ
Startup ก็ต้องทำบัญชีใช่มั้ยคับ (อันนี้ผมไม่ค่อยห่วง เพราะมีน้องจบบัญชี)
เช่นเดียวกับข้อข้างบน Startup เหมือนบริษัททั่วไป ต้องทำบัญชีเช่นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คร้าบผม แต่ส่วนใหญ่เค้าไม่จ้างพนักงานบัญชีเป็นพนักงานประจำหรอก ก็ Outsource กันทั้งนั้น ส่วนบริษัทก็มีหน้าที่เก็บบิลทุกอย่างที่มีในโลกให้บัญชีเอาไปทำบัญชี
แฮ่กๆๆๆ เหนื่อยมากครับ แต่หวังว่าจะได้ความรู้ไม่มากก็น้อยนะจ๊ะ