ชื่อ Blog งงมั้ย? ... แต่นั่นแหละ เป็นประโยคสั้นๆที่สรุปเนื้อหาที่จะเขียนใน Blog ได้ดีทีเดียว กับการขยับตัวครั้งใหญ่แบบไม่แคร์ใคร(ยกเว้นผู้ถือหุ้น)ของ Twitter ท่ามกลางการถูกด่าจากทุกฝ่าย นักวิเคราะห์หลายสำนักก็ได้เขียนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ทางตัวเราก็ขอเขียนด้วยบ้างแล้วกันนะจ๊ะ
นี่เป็นปีที่ 4 ที่ 5 แล้วมั้งที่เราได้เล่น Twitter รีเซตแอคเค้าท์ไปแล้วมากกว่า 10 ครั้ง และตลอดเวลาที่เล่นมา คำถามที่ว่า "Twitter หาเงินจากไหนฟระ" ก็ยังคงเป็นคำถามอยู่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแน่นอน ในทีม Twitter (และ Investor) ก็ถามคำถามนี้มาตลอดเหมือนกัน นี่เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงแบบ "Extreme" ของ Twitter ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดจำนวนการเข้าถึง API รวมถึงการพยายามทำให้ Twitter Client เจ้าอื่นหายไป ทั้งๆที่ Twitter Client เป็นคนทำให้ Twitter ได้ดีจนถึงทุกวันนี้
พื้นฐานของคำว่า "ธุรกิจ" คือ "กำไร" ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ก็ต้องปิดตัว
โปรดักส์ไม่ว่าจะหรูหราแค่ไหน ฟู่ฟ่าแค่ไหน ถ้าไม่สามารถทำกำไรได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะธุรกิจไม่ใช่การกุศล ผลกำไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และที่น่าเศร้าคือ จนถึงทุกวันนี้ Twitter ก็ยังไม่สามารถทำกำไรแบบอู้อ้าฟู่ฟ่าได้ แต่รายได้ไปตกอยู่ที่ผู้พัฒนา Twitter Client เจ้าต่างๆแทน ซึ่งเรียกได้ว่าแต่ละเจ้าได้เงินจากค่าโฆษณามหาศาลเลยหละ บางเจ้าเป็นล้านๆเหรียญเลย สาเหตุเพราะ Twitter ปล่อย API แบบ "เปิด" มากเกินไป จนไม่สามารถควบคุมให้คนเข้ามาเล่นในเว็บ Twitter หรือโปรแกรมของตัวเองได้ สุดท้ายคนไปเล่นที่อื่นหมด แล้วเจ้าของ Service อย่าง Twitter ก็ต้องจ่ายเงินไปเรื่อยๆเพื่อให้คนมาใช้งาน แต่ตัวเองกลับไม่ได้เงินจากการใช้งานนี้เลย
ต้องฆ่าจุดแข็งเพื่อความอยู่รอด
"ความเปิด" ของ Twitter เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของ Twitter จุดอ่อนก็อย่างที่ได้บอกไปว่ามันทำให้คนเล่น Twitter เข้ามาเล่นทางอื่น จน Twitter ไม่ได้รายได้ ส่วนจุดแข็งคือทำให้คนเล่น Twitter เยอะขึ้น เพราะ Twitter Client แต่ละเจ้ามีความหลากหลาย
แต่ในเมื่อจุดอ่อนของมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายและอันตรายต่อธุรกิจหลักของบริษัท สิ่งที่ทาง Twitter ต้องทำ(จนได้) คือการทำให้ API เปิดน้อยลง จำกัดสิทธิ์ให้คนทำ Twitter Client อ่อนแรง จนถึงบีบให้เลิกทำ
ถามว่าเป็นการกระทำที่โง่มั้ย? ... ผมว่าถ้าปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไป มันเป็นการกระทำที่โง่กว่า เพราะถ้ามันทำให้ Core Business มีปัญหาจนถึงกับเปิดต่อไม่ได้ มันก็ควรจะโดนตัดทิ้ง ทำแบบนี้แหละ ถูกแล้วในมุมมองของธุรกิจ
ผู้ใช้เยอะแปลได้ทั้งกำไรมหาศาลและขาดทุนย่อยยับ
การทำโปรดักส์ที่เป็น Platform อย่าง Twitter นั้น มีค่าใช้จ่ายเบื้องหลังอยู่เยอะมาก เรียกได้ว่าทุกครั้งที่เราเข้าไปทวีต หรือเช็คทวีต ทาง Twitter ก็ต้องจ่ายตังค์ค่า Infrastructure ให้เราแล้ว รวมแล้วต้องบอกว่าค่าใช้จ่ายมหาศาลเลยหละ
ทีนี้การที่คนเข้าใช้เยอะไม่ได้แปลว่าบริษัทจะกำไรเยอะ ตรงกันข้ามเลย ถ้าโปรดักส์ไม่สามารถหาเงินจากการที่มีคนใช้เยอะได้ มันจะกลายเป็นการขาดทุนย่อยยับไปในทันที และนี่คือสิ่งที่ Twitter เผชิญอยู่ครับ มีเพียงส่วนนึงเท่านั้นที่ Twitter สามารถหาเงินจากคนนั้นๆได้ ที่เหลือ Twitter Client รับหมด
ตัวเลขของรายได้ปีที่แล้วของ Twitter อยู่ที 139.5 ล้านเหรียญเท่านั้น [via Braffton] ทั้งๆที่ Twitter มี Active User อยู่ถึง 100 ล้านคน เทียบกับ Facebook ที่มีอยู่ 700 ล้านคน แต่ได้รายได้ถึง 4,000 ล้านเหรียญ หรือถ้าให้คำนวณรายได้ต่อหัว Twitter ได้รายได้ต่ำกว่า Facebook ถึง 4 เท่าเลยทีเดียว [via Forbes]
การปรับตัวสู่โลก Mobile เต็มตัว
ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของ Twitter คือ มันเกิดมาเพื่อ Mobile การใช้งานบนมือถือนั้นสะดวกกว่า Facebook มาก นั่นคงเป็นเหตุผลให้ Twitter โฟกัสไปยังมือถือมากขึ้น มีการซื้อ TweetDeck และปรับให้มันเป็น Official Twitter Client ที่ "ดีพอ" จะใช้งานและคนไม่ต้องไปดิ้นรนหาอย่างอื่นมาใช้อีกต่อไป
และมันเป็นการขยับตัวที่ถูกซะด้วย เพราะตลอดปีที่ผ่านมา รายได้ของ Twitter ก็พุ่งขึ้นเยอะทีเดียว ณ ตอนนี้คร่าวๆก็ทะลุรายได้ที่ Facebook ได้จากมือถือไปแล้ว (ทั้งนี้เพราะ Facebook ปรับตัวมาบนมือถือไม่ทันเองด้วยส่วนหนึ่ง) และคาดว่าสิ้นปีนี้ Twitter จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 288.3 ล้านเหรียญ [via eMarketer] ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วกว่าสองเท่าด้วยกัน
ลาก่อน @Anywhere
การ Encourage ให้คนมาใช้ Twitter ของ Twitter เองนั้น (คำนี้ตลกดีเนอะ) ไม่ได้จำกัดแค่บนมือถืออย่างเดียว เพราะบนเว็บก็ถูกจำกัดด้วย เพราะล่าสุด Twitter ประกาศปิดตัว @Anywhere ที่ใช้สำหรับแปะ Twitter ไว้ยังเว็บต่างๆ [via TheVerge] เพื่อให้ผู้คนเข้าไปเล่นที่ twitter.com กันที่เดียว และจะได้ขายโฆษณาบนนั้นได้แบบเต็มประสิทธิภาพ
ผลสรุป
ในท่ามกลางกระแสที่คนต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของ Twitter ในช่วงนี้ หากมองในมุม Twitter ก็คงมีเสียงกระซิบเบาๆออกมาว่า "แล้วจะให้กรูทำยังไง?" เพราะถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ การที่ Twitter โตต่อไปจะกลายเป็นภัยของธุรกิจเอง การตัดไฟแต่กลางลมตอนนี้จึงสมควรแล้ว (ต้องบอกว่ากลางลมเพราะมันเลยต้นลมไปแล้ว)
และสิ่งที่ Twitter คาดหวังหลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้คือรายได้เป็นกอบเป็นกำที่ Twitter ยังไม่เคยได้มาก่อน เห็นคาดหวังไว้ว่าจะต้องได้ 1 พันล้านเหรียญภายในปี 2014 หรืออีกสองปีข้างหน้าให้จงได้
ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ความหวังที่จะมีบริษัทใหญ่ๆอย่าง Google จะมาซื้อฐานผู้ใช้และระบบไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว (ถ้าตอนนั้น Google+ ไม่ประสบความสำเร็จล้นหลามไปซะก่อนนะ)