เปลี่ยนบรรยากาศมั่ง พูดถึงเรื่องมือถือมาเยอะแล้ว มาพูดถึงบ้านเมืองเค้าบ้าง ไหนๆก็ไป(เกือบ)เที่ยวบ้านเค้าแล้ว
ย้อนเวลา!! กลับไปวันแรกที่เดินทาง การเดินทางสนุกสนานดี ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมาปีกว่า แต่คราวนี้กลับไม่ตื่นเต้นหรือประหม่าอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดปีที่ผ่านมามี Contact กับเมืองนอกตลอดหละมั้ง ภาษาอังกฤษเลยพัฒนา
จะมีก็งงๆตรงที่เปลี่ยนเครื่องที่อัมสเตอร์ดัม เจอ Passport Control ถามว่า "Where are you going?" เราก็ตอบไป "Barcelona" เค้าก็หันไปหาคนข้างๆแล้วพูดว่า "วาย" เราก็นิ่ง... นี่เมิงคุยกับกูหรือคุยกับคนข้างๆ รบกวนช่วย Acknowledge นิดนึง กรูอุตส่าห์ฟังออกแล้ว แต่กรูดูไม่ออกว่าเมิงพูดกับคร้ายยยย อยากจะบ้า แต่สุดท้ายก็พูดกับเราจริงๆ ก็เลยบอกว่าไปงาน MWC ก๊ะ แล้วเราก็ผ่านไปได้... นั่นเป็นจุดเดียวที่โก๊ะเรื่องอังกฤษระหว่างขาไป
การเดินทางก็ราบรื่นดี ไม่มีตกหลุมอากาศแม้แต่ครั้งเดียว แต่ KLM ที่นั่งห่วยแสรด อาหารก็ห่วยสาดด กินไม่ได้แม้แต่มื้อเดียวจริงๆอ่ะ อย่าไปนั่งมันนะ ขอเตือน -_-
แต่อย่างอื่นก็โอเค ไม่มีปัญหาเรื่อง Flight Delay ใดๆ มีแต่ตอนเปลี่ยนเครื่องมีเวลาให้ไม่ถึงชั่วโมงนั่นแหละ ทำเอาเกือบตกเครื่อง
บินตุดุ๊ดๆๆๆไปถึงบาเซโลน่าประมาณเก้าโมงเช้า เครื่องบินรายงานว่าอากาศภายนอก "1 องศา" เฮือก! สวัสดีอากาศเย็น ไม่ได้เจอกันนานนะ~~~
พอลงไปก็... เย็นจริงๆด้วย งือออออ แล้วก็ใส่เสื้อหนาวตัวบางๆเดินลุยออกไป ไม่น่าเชื่อว่าอยู่รอดได้ไม่มีปัญหา เริ่มอินเตอร์ๆ ๕๕๕
พอออกจาก Terminal ไปก็เจอคนขับรถลิมูซีนยืนรอเราอยู่ ก็เดินตามเค้าไปจนถึงรถพร้อมกับคนอินเดียที่มาใน Flight เดียวกัน ระหว่างทางไปโรงแรมก็เจอสิ่งก่อสร้างอะไรแปลกๆเยอะ อย่างเช่นไอ่นี่
เป็นสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของบาเซโลน่าเลยน้า ตอนกลางคืนจะมียิงแสงขึ้นไปประดับ สวยไปอีกแบบ
ระหว่างทางก็ได้เจอสิ่งโน่นนี่อีกมากมาย โดยรวมต้องบอกว่าบ้านเมืองเค้าเป็นเมืองเก่าพอตัว มีแต่สิ่งปลูกสร้างสูง 6-7 ชั้นอยู่เต็มไปหมด กำแพงก็โดนพวกมือบอนพ่นเหมือนกรุงเทพฯไม่มีผิด ที่สำคัญ ไฟแดงเยอะเหมือนกรุงเทพฯไม่มีผิด!! แต่... รถไม่ติดเลยแม้แต่น้อยเพราะรถน้อยมาก นั่งแล้วสบายใจสุดๆ
การขับรถของคนที่นั่น... ฝ่าไฟแดงกันสนุกเหมือนกรุงเทพฯไ่ม่มีผิด!! ทางม้าลายมีไฟเขียวไฟแดงสำหรับคนข้ามทุกแยก แต่... ก็ไม่มีใครดูสัญญาณไฟกันเลยสักคน -_- ระหว่างทางก็เจอคนขายของตามสี่แยกไฟแดงด้วย แต่นี่เป็นอาหาร แล้วก็ไม่ค่อย Aggressive ใส่คนขับเท่าไหร่ ตกลงรู้สึกเหมือนไปกรุงเทพฯที่สะอาดและเป็นระเบียบกว่า ประมาณนั้น
นั่งรถไปครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ก็ถึงโรงแรม Catalonia Aragon (นานเหมือนกันนะ) แล้วก็พบว่าเป็นโรงแรมสามดาวในย่านเก่าๆและดูอันตราย
ไปถึงก็ติดต่อ Counter เพื่อ Check In ทันที แต่ก็ต้องเซ็งเพราะไปเช้าไป ต้องรอจนถึงบ่ายสองเพื่อให้เค้าทำความสะอาดเสร็จ!! แสรดดดด นั่งรอไปอีก 3 ชั่วโมง คุยกับคนอินเดียจนไม่รู้จะคุยอะไรแล้วก็เลยหยิบ Lenovo S10 ขึ้นมาเล่นเนต เช็คเมล์ และทำงาน
ระหว่างนั่งทำงานก็สั่งนมช็อคโกแลตมากินด้วย (โรงแรมนี้บัดซบมาก ขอบ่นหน่อยละกัน วันแรกราคา 2.30 ยูโร วันที่สองราคา 2.20 ยูโร วันสุดท้ายแมร่งคิด 2.70 ยูโร อย่าไปนะโรงแรมนี้) ระหว่างนั่งจิบนมกินก็หันไปเจอ Vending Machine ขายขนม
ตู้นี้มีทุกหนทุกแห่งในเมืองเลย เรียกว่าเมืองนี้คนตกงานเพราะตู้พวกนี้แหละ -_-
นั่งรอไปจนครบสามชั่วโมง สุดท้ายก็ได้ห้องสักที! เลยรีบลากกระเป๋าขึ้นห้องในทันที ซึ่งเราโชคดีที่ห้องอยู่ชั้น 1 ขึ้นไปแค่ชั้นเดียวก็ถึงห้องเลย สบาย~~~
สภาพห้องเป็นห้องยาวๆ มีครบทุกอย่างยกเว้นตู้เย็นกับน้ำดื่ม ซึ่งตู้เย็นไม่จำเป็นอยู่แล้ว แต่น้ำดื่มนี่เซะ ต้องไปกดตู้มากิน
หลังจากจัดของโน่นนี่เสร็จก็หมดสติไปด้วยอาการไมเกรน ตื่นมาอีกทีราวๆหกโมง คนอินเดียโทรมาถามว่าจะไปเอาป้ายชื่อที่งาน MWC ด้วยกันมั้ย แต่เราไม่ไหวก็เลยปฏิเสธไป แล้วก็หลับต่อ... ตื่นมาอีกทีสี่ทุ่ม เช็คเมล์.... ฉิบหายยยยยย ตอนทุ่มนึงคนจากโนเกียส่งเมล์มาว่าเค้ารออยู่ที่ Lobby เอาซิมมาให้ ลงมาหาหน่อย... Power of Migraine T_T เลยเมล์กลับไปขอโทษขอโพย เค้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ฝากซิมไว้กับ Counter ให้แล้ว เราเลยรีบใส่เสื้อหนาวเดินเตรียมออกจากห้อง ก็สังเกตเห็นซองขาวสอดอยู่ใต้ประตู... เค้าจะไล่ชั้นออกหรออออออออออ ... อ่อ ไม่ใช่ เหะๆ นั่นแหละ เค้าเอาซิมมาส่งให้ถึงห้องเลย ก็มีดีอยู่นะโรงแรมนี้ อิอิ
จากนั้นก็หลับต่อ ข้าวยงข้าวเย็นไม่กินมันละ ปวดหัว แต่อาการหลอนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตื่นมันทุกชั่วโมงเลย เป็นอาการทางประสาทชนิดหนึ่งนะเนี่ย -*- สรุปคืนนั้นตื่นไปแปดครั้งเห็นจะได้ ตอนเช้ามาเลยตื่นซะเช้าโคดพ่อวเลย หกโมงอ่ะ รีบอาบน้ำแล้วก็ลงไปถ่ายรูปละแวกนั้นเพื่อเก็บบรรยากาศ เริ่มจากโรงแรมที่เราอยู่
อาคารละแวกนั้นสูงเท่ากันหมดทุกหลังเลย แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมต้องสูงเท่ากัน คือไม่ได้เฉพาะที่ถ่ายมานะ ติดกันไปอีก 20-30 อาคารก็สูงเท่ากันหมด แม้แต่อาคารสร้างใหม่ก็ยังสร้างให้สูงเท่าตึกเดิมที่มีอยู่
บ้านเมืองเค้าใช้จักรยานและมอเตอร์ไซค์กันเยอะทีเดียว มีที่ให้จอดอย่างเป็นที่เป็นทางมากมาย
จึงไม่ต้องแปลกใจที่จะมีเลนจักรยานให้เห็นอยู่ทั่วไป
โทรศัพท์สาธารณะที่นี่ถึงจะดูเก่าและมีคนมือบอนขีดเขียนโน่นนี่ แต่ก็ยังดูดีกว่าของเมืองไทยหลายขุม
เห็นมีจุดกดน้ำสาธารณะด้วย แต่ไม่กล้าไปกดทดสอบว่ามันใช้งานได้มั้ย แต่เชื่อว่ายังใช้งานได้ ดูจากความสะอาดของมันแล้ว
บ้านเมืองเค้าจัดมาได้ดูสวยงามมาก เหมาะกับอากาศเย็นๆของบ้านเค้าจริงๆ เห็นแล้วอยากอยู่ยาว ไม่อยากกลับไทยเลย
อากาศที่นี่ครึ้มตลอดวัน (ยกเว้นวันสุดท้ายที่แดดแรงจนลืมหนาวไปเลย) ก็เลยมีปัญหาักับ GPS นิดหน่อย ... ไม่นิดหรอก คือไม่เคยใช้งานได้เลยแหละ มาใช้งานได้วันสุดท้ายวันเดียวคือตอนจะกลับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้ใช้ประโยชน์... รักแกจริงๆ 5800
การขนส่งที่นี่ทำได้ดีมาก มีรถไฟใต้ดินทุกหนทุกแห่งจริงๆ ทั้งเมืองมีอยู่กว่าร้อยสถานีได้อ่ะ (นี่คือสาเหตุที่ทำไมรถน้อย) แบ่งเป็น 8 Lines มั้งถ้าจำไม่ผิด การเดินทางก็เลยต้องใช้ความสามารถกันนิดนึง ถ้าศึกษามาไม่ดีก็หลงทางอ่ะ อีกทั้งรถไฟใต้ดินที่นี่ไม่เหมือนในไทยนะ ประตูไม่เปิดแบบอัตโนมัติแต่เป็นแบบกึ่งอัตโนมัติ คือถ้าคุณอยากจะเปิดประตู คุณต้องกดสวิตซ์ก่อนด้วย ประตูถึงจะเปิด ซึ่งก็เห็นด้วยนะ มันทำให้ประหยัดไฟไปได้มหาศาลเลย อ้อ นอกจาก Metro แล้วยังมีรถไฟสวยๆวิ่งด้วยนะ เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะถ่ายมา สวยจริงๆ
แท็กซี่ที่นี่ก็มีให้บริการ แต่ค่าบริการแพงลิบบบบบ นั่งครั้งนึงนี่อย่าต่ำก็ 8 ยูโรแล้วหละ ในขณะที่รถไฟใต้ดิน 7 ยูโรกลับนั่งได้ถึง 10 เที่ยว จึงไม่ต้องแปลกใจที่ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้แท็กซี่ อ่อ... แต่จริงๆที่นี่แท็กซี่มีน้อยด้วยแหละ เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะใครจะขับแท็กซี่ต้องจ่ายเงินให้รัฐ 20,000 ยูโร!! ตกใจเลยทีเดียว เอ้อ! (ตอนแรกได้ยินว่า 200,000 ยูโรด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจว่าเลขไหนกันแน่ รู้แต่มันเยอะมาก)
บ้านเมืองเค้าอย่างที่บอก เป็นเมืองเก่า แต่ก็มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้มันดูก้ำกึ่งระหว่างมีเสน่ห์กับแหล่งเสื่อมโทรมอยู่เช่นสถานีรถไฟใต้ดิน มีอะไรขีดเขียนเต็มไปหมด มีกระดาษโน่นนี่ติดเต็มไปหมด ทำเอารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในเขตก่อสร้างยังไงไม่รู้ แต่ก็ยังรักษาความสะอาดไว้ได้อยู่ ไม่เห็นขยะสักชิ้นเลย
สถาปัตยกรรมอาคารที่นี่เราไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่พวกที่เป็นตึกสูงหรือตึกมีดีไซน์ จะออกแบบให้เหมือนมีอะไรครอบอยู่เสมอ เช่นรูปแรกที่เราแปะให้ดูนั่น ที่อาคารทรงประหลาดๆนั่นแหละ เราไปเห็นอีกหลายอาคารที่คล้ายๆแบบนั้นเช่น
บ้านเมืองเค้าโดยรวมเหมือนเมืองไทยซะเยอะเลยแหละ (ยกเว้นสิ่งดีๆหลายอย่าง เช่นระบบคมนาคม ความสะอาดเป็นต้น) อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ มีคนขายของตามสี่แยกไฟแดงด้วย แล้วตอนที่เราไปเดินช็อปปิ้งก็เห็นคนประท้วงร้าน ZARA ด้วย คนที่ประท้วงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ร้าน CCOO ที่อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ เอ้อ ตลกดี ขนาดไปอยู่ไม่กี่วันยังจะเจอของพวกนี้เข้าให้
ข้อเสียอย่างเดียวที่เห็นในบ้านเมืองนี้คือ เราไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนตอนกลางคืนได้ เพราะอย่างที่รู้ๆกันอยู่ บาเซโลน่าติดอันดับอาชญากรรมอยู่ เห็นมีคนเล่าว่าถ้าเดินไปแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็จะมีคนเอามีดมาจี้แล้วเอาเงินไปหมด คืนสุดท้ายที่อยู่มีคนในกลุ่ม Finalist อยากซื้อบุหรี่เลยไปถาม Counter ว่าไปซื้อที่ไหนได้บ้าง ปรากฎว่ามีพนักงาน 3-4 คนเดินเข้ามาบอกว่าอย่าออกไปเป็นอันขาด ถ้าจะซื้อเดี๋ยวเค้าจะออกไปซื้อให้ ขนาดนั้นเลย! จะไม่น่าอยู่ก็ตรงนี้แหละเมืองนี้
ขากลับหลังจากเดินช็อปปิ้งหลายที่ก็พบว่าบ้านเมืองเค้าไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นเลย ไม่รู้จะซื้ออะไรฝากที่บ้านดี เลยไปซื้อที่สนามบิน... ก็พบว่าไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นอีกนั่นแหละ มีก็แค่ Mosaic และ วัวกระทิง เลยซื้อวัวกระทิงกลับบ้าน... เอ้ย! ซื้อ Mosaic กลับไปฝากบ้านชิ้นนึง ส่วนคนไทยที่รอของฝากก็เสียใจด้วย ทุกอย่างที่เป็นของฝากมันมีขายที่เมืองไทยหมดเลย ไม่รู้จะซื้อกลับทำไม ไว้จะพาไปเลี้ยงข้าวละกันน้าาาา แหะๆ
สำหรับ Flight ขากลับนี่มีอะไรกุกกักนิดหน่อย อุตส่าห์ไปถึงสนามบินตรงเวลา แต่ตอน Load กระเป๋ากลับโหลดไม่ได้เพราะว่าระบบ KLM ล่ม!! ย้ำว่าล่ม! ส่งผลให้คนที่กำลังจะบินในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ยัง Load กระเป๋ากันไม่เสร็จเลย บ่นกันอุบเลยแหละ โชคดีที่เราบินในอีกหลายชั่วโมงถัดไป สบาย...
มาปวดหัวอีกทีก็ตอนเครื่องลงอัมสเตอร์ดัม... เครื่องบินลงกระแทกรันเวย์แรงมากกกกก แรงไม่พอ หางยังปัดอีกต่างหาก ผู้โดยสารทุกคนมองหน้ากันแบบ... เอ่อๆๆๆๆ เอ่อๆๆๆๆ คือตกใจมากอ่ะ... จำไว้นะ KLM -_-
ตอนอยู่สนามบินอัมสเตอร์ดัมก็กินยานอนหลับไปสองเม็ดเพื่อจะได้ไปหลับใน Flight ยาว 10 ชั่วโมง แต่ปรากฎว่าไม่หลับ... ด้วยความแรดส่วนบุคคลเลยสั่งไวน์แดงมาขวดนึง (ขวดเล็กๆ เทแล้วได้แก้วนึงโดยประมาณ) ผลคือ... หลังจากกินอึกสุดท้าย ก็รู้สึกตัวอีกทีใน 8 ชั่วโมงถัดไปเลย! ๕๕๕ จึงได้พบว่า ไวน์แดงแม่งแรงกว่ายานอนหลับ!
สุดท้ายก็ถึงบ้านอย่างปลอดภัยตอนบ่ายโมงของวันที่ 19 ... ความรู้สึกแรกที่ออกจากเครื่อง.... ร้อนห่านนนนนน เอากูกลับป๊ายยยยย T_T แต่ก็ทำยังไงได้ มีงานรอเราอยุ่จำนวนมากนี่นา เอ้อออออ
ก็จบแล้วสำหรับทริปบาเซโลน่าห้าวันห้าคืนของเรา สนุกดีนะ แล้วก็ทำให้เรามั่นใจในภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นเยอะทีเดียว ^ ^ ขอบคุณโนเกียสำหรับโอกาสคร้าบบบบ
Blog หน้าจะมาเล่าประสบการณ์ที่ไปได้รับรางวัลมาละกัน ไม่รู้จะอยากอ่านกันมั้ย... แต่ก็จะเขียนอ่ะ มีไรป๊ะ!! ๕๕๕