Blog ครั้งนี้ชื่อยาวหน่อย แต่เขียนจากมุมมองที่ผ่านประสบการณ์ "ขาดเงินทุน" มาแล้ว (จริงๆต้องบอกว่าอยู่ในสถานการณ์นั้นน่าจะดีกว่า) เลยรู้สึกว่าควรจะเขียนเรื่องนี้ไว้สำหรับ Startup ทั้งหลายที่ต้องการจะทำโปรดักส์ตัวเอง โดยเฉพาะโปรดักส์ที่โฟกัสระดับโลก ค่าใช้จ่ายมหาศาล ได้เข้าใจและเรียนรู้กันครับ
เริ่มจาก Facebook
ใครเคยดูหนังเรื่อง Social Network คงจะนึกออกว่า Facebook เริ่มต้นด้วยเงินทุนของตัวเอง ซึ่งใช่ครับในตอนแรกๆที่ลุยเพื่อใช้เล่นกันเองในมหาวิทยาลัย รวมถึงตอนที่อยู่ Palo Alto ก่อนไปเจอ Sean Parker ทาง Mark Zuckerberg และพรรคพวกใช้เงินตัวเองในการรันระบบทั้งหมด แต่พอเริ่มทำแบบจริงจังแล้ว Facebook ได้เงินจาก Angel มา $500,000 ซึ่งก็คือ Peter Thiel นั่นเอง ด้วยทุนนี้ทำให้ Facebook สามารถ "โฟกัส" ไปที่การพัฒนาโปรดักส์ได้อย่างเต็มที่ และ Facebook ก็ค่อยๆเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมเงินที่ได้จาก VC จนถึงตอนนี้ก็ 2.24 พันล้านเหรียญแล้ว
หากคำนวณแล้ว ในวันที่ Facebook ยังทำเล่นๆ มูลค่าของมันน่าจะอยู่ราวๆหลักหมื่นเหรียญเท่านั้น แต่พอ Angel มาจ่ายเงินให้ และพัฒนาตัวเว็บขึ้นมา มูลค่าของมันก็เพิ่มเป็นหลักล้านเหรียญทันที ถึงแม้ Angel จะเอาหุ้นไป 40% แต่ลองคำนวณดูสิ 100% ของ 10,000 เหรียญ กับ 60% ของ 1,000,000 เหรียญ อันไหนเยอะกว่ากัน?
มานั่งคิดว่า ถ้าวันนั้น Facebook ไม่ได้ไปหาเงินจาก Angel เว็บ Social Network ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้อาจจะไม่ใช่ Facebook หรือดีไม่ดี Facebook ก็อาจจะหายไปในปีนั้นเลยก็ได้
ต่อมาคือ Instagram
หลายคนบอกว่า Instagram เริ่มจากศูนย์ จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะโปรดักส์ตัวนี้เริ่มจาก $500,000 ครับ โดยได้มาจาก VC สองราย คือ Andreessen Horowitz และ Baseline Ventures เพียงพอที่จะรันระบบและจ่ายเงินพนักงาน 11 เดือน ก่อนจะ Raise Funding (ระดมทุน) ครั้งที่หนึ่ง (Series A) เพิ่มอีก $10,000,000 และอีก $50,000,000 ใน 14 เดือนถัดมา
และเช่นเดียวกัน ด้วยเงินก้อนแรกที่พวกเค้าได้มา $500,000 นั้นเพียงพอที่จะรัน Service ทั้งหมด จ่ายค่า Server และค่านักพัฒนาได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรอย่างอื่น แค่ "ทำให้ดีที่สุด" ก็พอ และด้วยเงินก้อนนี้จึงทำให้โปรดักส์ออกมามีคุณภาพ และมีคนสนใจจะลงทุนเพิ่มเรื่อยๆ และสุดท้าย Facebook ก็ซื้อไปจนได้ในราคามหาศาล ตรงกับ Business Model ที่วางไว้แต่แรก ... "ทำผลงานให้คนมาซื้อ"
ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน
เงิน $500,000 ของทั้ง Facebook และ Instagram เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทั้งสองประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมทุนถึงจำเป็น? ตอบง่ายมากๆ เพราะว่าแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายนั่นเอง โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายได้แก่
- ค่านักพัฒนา
- ค่า Infrastructure สำหรับบริการแบบออนไลน์
- ค่า Support
- ค่า Maintain
- ค่าเช่าออฟฟิศ
- ค่าโฆษณา & PR
- ค่าทำ Marketing
รวมแล้วบางทีอาจจะจ่ายถึงเดือนละ 30,000 - 40,000 เหรียญได้เลย ตราบใดที่โปรดักส์ยังหาเงินไม่ได้ นี่คือเงินที่คุณต้องจ่ายไปเรื่อยๆในทุกเดือน คิดดูว่าถ้าคุณไม่มีทุนตรงนี้ ชีวิตคุณจะลำบากขนาดไหน และโปรดักส์คุณจะรันไปได้กี่เดือน?
ย้อนดูตน
คงรู้อยู่ว่าตอนนี้บริษัทเฮากำลังรันโปรดักส์ระดับโลกอยู่ ตลกที่ตอนนี้เริ่มตะกุกตะกัดเล็กน้อย แต่สาเหตุเกิดจาก "มีคนเล่นเยอะเกินไป" เป็นปัญหาที่น่าตลก เพราะคนเล่นเยอะ ทำให้ต้องขวนขวายหาเงินจ่าย ณ จุดนี้เชื่อว่าถ้าเราอยู่สหรัฐฯตอนนี้ เราคงจะมี VC มาช่วยสนับสนุนสักพักใหญ่ๆแล้ว แต่เผอิญเราอยู่ประเทศไทย ... ไม่มี VC ที่พร้อมจะลุยระดับโลกไปด้วยกัน แล้วต้องทำยังไงหละสำหรับคนไทยอย่างเรา? ตอนนี้ต้องทำงานหาเงินไปเรื่อยๆ เพื่อเอามาหมุน Service ครับ ผลคือไม่สามารถทุ่มกับผลงานตัวนี้ได้อย่างเต็มที่ ต้องคอยสลับไปทำงานอื่นเรื่อยๆ และช่วงที่สลับไปทำก็ต้องหยุดงานนี้ไปเลย นี่คือข้อผิดพลาดและความน่าเศร้าอย่างรุนแรงที่เราผจญอยู่
VC กับ Angel คืออะไร?
พูดมาจนถึงตอนนี้ คำที่ได้ยินเยอะๆคือ VC และ Angel คงสงสัยกันแล้วสิว่าเค้าคือใคร?
VC นั้นย่อมาจาก Venture Capital เป็นกลุ่มบริษัทที่พร้อมจะมอบเงินลงทุนให้แก่ "บริษัทที่มีผลงานแล้ว" เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้น โดยกลุ่ม VC จะไม่ค่อยชอบเสี่ยงเท่าไหร่นักเพราะจะให้เงินแก่ผลงานที่ดูมีอนาคตแล้วเท่านั้น เรียกว่าลงเงินไปกะว่าได้เงินกลับมาแน่ๆ แต่ข้อดีคือ VC จะให้เงินครั้งละปริมาณมากๆ โดยเฉลี่ย 7 ล้านเหรียญต่อครั้งเป็นอย่างน้อย
Angel ก็เป็นนักลงทุน (Investor) เหมือนกับ VC แต่มีข้อแตกต่างตรงที่คนจำพวกนี้จะพร้อมรับความเสี่ยงมากกว่า เพราะจะจ่ายให้ตั้งแต่ผลงานยังไม่เสร็จ และไม่รู้ว่าจะไปรอดมั้ย แค่ดูแล้วน่าสนใจ(มาก)และน่าจะหาเงินได้ และแน่นอนว่าเพราะมีความเสี่ยง ปริมาณเงินที่ Angel จ่ายจะน้อยกว่า อยู่ระหว่าง $25,000 - $100,000 (แต่ Facebook ได้ $500,000) และ สิ่งที่ต้อง Concern มากๆสำหรับการมี Angel คือ เค้าจะมีสิทธิ์ในการควบคุมทุกอย่างในผลงานและบริษัท เหมือนในหนัง Social Network ที่ Peter Thiel เข้าไปควบคุมทุกอย่างในบริษัท Facebook นั่นแหละ
ส่วนใหญ่แล้วการระดมทุนจะมีอยู่ 2 ways ด้วยกัน
1) ได้เงินลงทุนมาจาก Angel ก้อนแรก (Early Game) และได้มาจาก VC หลังจากนั้น (Late Game)
2) ก้อนแรกลงทุนเอง (Self Funding) จากนั้นพอเริ่มเห็นว่าไปได้ ค่อยไปหา VC
ตรงนี้จริงๆรายละเอียดเยอะมาก ศึกษากันไปเรื่อยๆ แต่รู้จักกันโดยคร่าวๆไปก่อน
Angel / VC ต้องการอะไร?
ขึ้นชื่อว่า "นักลงทุน" ก็แปลง่ายๆ อาชีพหลักของเค้าคือทำเงินที่มีอยู่ให้งอกเงยขึ้นด้วยวิธีใดก็ได้ และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เค้าเสียไป แปลว่าเค้าต้องการได้กลับมากกว่านั้น การที่เค้าให้เงินมา 1 ล้านเหรียญ นั่นแปลว่าเค้ามองว่า "เราต้องหาเงินไปคืนเค้า 1 ล้านเหรียญ + กำไรงามๆคืนให้เค้า"
คิดย้อนกลับเล็กน้อย การที่เค้าคาดหวังกำไร นั่นแปลว่าเค้าประเมินแล้วว่าผลงานของเราต้องสามารถหาเงินให้เค้าได้ Monetization (การหาเงิน) จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการจะทำผลิตภัณฑ์ใดๆขึ้นมา เพราะผลงานถ้าหาเงินไม่ได้ VC หรือ Angel ก็จะไม่เหลียวมามอง ก็จะไม่มีเงินทุน และผลงานนั้นก็จะไม่มีอนาคตตั้งแต่เริ่มเลย
แต่ก่อนจะไปหา Angel หรือ VC ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า เราต้องพร้อมยอมรับเงื่อนไขที่เค้าจะเข้ามา เพราะบางทีเค้าอาจจะต้องการเปลี่ยนโปรดักส์หรือโครงสร้างบริษัทเลยก็ได้ บางที Angel อาจจะเป็น Evil ก็เป็นได้ หรือบางที VC ในบางประเทศก็เขี้ยวมาก เงื่อนไขเยอะ ขอหุ้นเยอะ ราวกับเป็นเจ้าหนี้นอกระบบ ศึกษาดีๆ เลือกดีๆ
Keyword ของความสำเร็จ
เงินทุน - อย่างที่บอก ทุกอย่างต้องใช้เงินทุน ขาดเงินทุนก็ไปไม่รอด
โฟกัส - ถ้าคิดจะทำโปรดักส์ใดๆขึ้นมา ต้องโฟกัสและไม่ Distract ไปทำอย่างอื่น มิฉะนั้นยังไงก็ไปไม่รอด อ่านจนถึงตอนนี้คงจะรู้แล้วว่า "เงินทุน" กับ "โฟกัส" เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันเต็มๆ นี่คือความสำคัญของเงินทุน
ไอเดีย - ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ทำให้ผลงานแต่ละชิ้นมีความแตกต่าง แต่หากขาดซึ่งไอเดียแล้ว ผลงานก็จะลอกกันได้ และหยุดอยู่กับที่ ถ้าวันดีคืนดีบริษัทใหญ่ทำโปรดักส์เหมือนกันขึ้นมา ก็เตรียมลาโลกได้เลย
ทีมงาน - ลองคิดดู หากเรานั่งเขียนโปรแกรมใหญ่ๆคนเดียว ต้องใช้เวลา 1 ปี กับมีอีกบริษัทนึง มีทีมงานที่เขียนด้วยกัน ใช้เวลาเพียง 2 เดือน คิดว่าใครจะชนะทั้งในระยะสั้นและระยะยาว? ทั้งนี้ทีมงานต้องเข้ากันได้ด้วย และต้องทำงานเพราะรักในผลงานนั้นๆ ไม่ใช่ทำเพื่อเงิน มิฉะนั้นมีปัญหาระยะยาวแน่นอน
Passion - ต้องรักในผลงานชิ้นนั้นๆ มีความรู้สึกอยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่งั้นเวลาผ่านไป 1 ปีก็เบื่อ ก็ไม่อยากทำ แล้วผลงานจะไปยาวได้อย่างไร
สรุป
สรุปแล้ว "เงินทุน" เป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด เพราะโลกทุนนิยมทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเงิน ก่อนจะทำโปรเจคใดๆ ให้มองหาแหล่งเงินทุนไว้ก่อนเลย วางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่าพอผ่านไป xx เดือน หรือผ่าน Milestone ที่ตั้งไว้ จะไปขอทุนที่ไหน บลาๆๆๆ
น่าเศร้าที่เราคงมองหาอะไรแบบนี้ในเมืองไทยไม่ได้ เคยเห็นหลายบริษัทที่ทำเป็น VC อยู่บ้าง แต่ด้วย Volume, ทัศนคติ และ Vision น้อยนักที่จะมุง่เน้นไปที่โปรดักส์ระดับโลกในสเกล 10 ล้านเหรียญได้ วิธีที่ดีที่สุดคือไปเปิดบริษัทที่สหรัฐฯแล้วไปหา VC ที่นั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นวิธีที่ดูยาก แต่รับรองว่าเวอร์คและท้าทายครับ
สุดท้ายของท้ายสุด เขียนมายาวคงสรุปได้วาเงินทุนเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะ
"ถ้าไม่โฟกัส ผลงานจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ
แต่ถ้าไม่มีเงินทุน คุณจะไม่มีวันโฟกัสได้"
ข้อมูลอ้างอิง
- http://www.crunchbase.com/company/facebook
- http://www.crunchbase.com/company/instagram
- ความเจ็บปวด ความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ น้ำตา จากประสบการณ์จริง