ปลายเดือนหน้ามีธุระต้องไปสหรัฐฯ (เป็นอีกครั้งที่ไปต่างประเทศเพื่อทำงาน เก้าในสิบครั้งเห็นจะได้) ก็เลยต้องไปทำวีซ่าเพื่อเข้าประเทศอเมริกาตามระเบียบ เลยมาจดๆเขียนๆเอาไว้ว่าทำอะไรบ้าง ลำบากหรือสบายแค่ไหน เหะๆ
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เราไปสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้เคยไปแต่ยุโรปกับสิงคโปร์ ครั้งนี้เลยมึนในการกรอกใบสมัครมาก เพราะของยุโรปแค่ Print แล้วก็กรอกประมาณแปดแสนกว่าข้อ ... ล้อเล่น แต่ก็เยอะ ราวๆร้อยข้อได้มั้ง ส่วนของเมกาไม่ต้อง Print มากรอกฮะ ไปนั่งทำในเว็บได้เลย ชื่อแบบฟอร์ม DS-160 ก็เลยค่อนข้างทุลักทุเลเลยทีเดียวเพราะคำถามเยอะมากกกก ใช้เวลากรอกเต็มๆ 1 ชั่วโมง แต่ละคำถามแทบไมเกรนจับ ต้องให้พี่อาร์ทช่วยดูไปราวครึ่งฟอร์ม แต่สุดท้ายก็กรอกเสร็จ มีต้องอัพโหลดรูปด้วย ต้องดิ้นรนหารูปหน้าตรงแบบดิจิตอลกันอีกด้วย ซึ่งส่วนตัวไม่เดือดร้อน .... ถ่ายเอง แต่เอง อัดเองอยู่แล้ว เหะๆ
พอกรอกเสร็จก็จะได้ Confirmation Number มา จากนั้นใส่บัตรเครดิตซื้อ PIN ผ่านทางเว็บเพื่อจองคิวสัมภาษณ์โดยใช้รหัส Confirmation Number ในการระบุใบสมัคร ซึ่งคิวสัมภาษณ์นี้จะเป็นรอบๆไป ถ้าโชคดีก็จะได้รอบที่เร็วมากภายใน 1 อาทิตย์ ถ้าโชคร้ายก็ยิงยาวเป็นเดือน (มีคนเคยเล่าให้ฟังอ่ะนะ) โชคดีตอนนั้นได้คิวภายใน 1 สัปดาห์เลย ไวโคด ทั้งๆที่ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ช่วง Peak แล้ว
จากนั้นก็จ่ายเงินค่าทำวีซ่าตามยอดที่เค้าแจ้งมาทางเว็บ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ $140 หรือตก 4,480 บาท โดยให้ไปจ่ายที่ไปรษณีย์ไทย แล้วก็เก็บสลิปไว้เพื่อใช้ยืนยันในวันทำวีซ่า (สำคัญมาก)
ทีนี้ก็เตรียมหลักฐานให้ครบ อันได้แก่
(1) รูปหน้าตรง 2x2 นิ้ว มีพื้นที่หน้าขนาด 50% เป็นอย่างน้อยของรูป หน้าต้องหันตรง เห็นหูทั้งสองข้าง (เรื่องหูสำคัญมาก) ผมห้ามปิดหน้า ห้ามใส่แว่น ใส่ต่างหูได้แต่ห้ามใหญ่ ใช้แค่รูปเดียว ไม่ต้องเตรียมไปเยอะ
(2) เอกสาร DS-160 พิมพ์แบบชัดๆ เดี๋ยวบาร์โค้ดจะยิงไม่ติด
(3) สมุดบัญชี ย้อนหลัง 6 เดือน ถ้าไม่ครบให้ขอ Statement จากธนาคาร ควรเผื่อเวลาไว้ด้วยเพราะการขอ Statement ใช้เวลาเฉลี่ย 2 วัน
(4) สำเนาทะเบียนบ้าน
(5) สำเนาบัตรประชาชน
(6) หากไปงาน Conference หรือประชุม ให้ขอ Invitation Letter มาด้วย ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก
(7) ถ้าทำงานแล้วให้ขอหลักฐานการทำงาน ถ้าเรียนอยู่ให้เอาหลักฐานการเป็นนักเรียนไปด้วย
(8) หลักฐานการจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน (ถ้ามี)
(9) ปากกา (สำคัญมากกกกกกก ไม่เอาไปนี่พลาดอ่ะ)
คราวนี้ก็รอถึงวันสัมภาษณ์แล้วไปตื่นตระหนกกันในสถานฑูตกัน
แว้บบบบบบบบบบบบ ตัดมาถึงวันสัมภาษณ์เลยละกันนะ
การสัมภาษณ์ทำ ณ สถานฑูตสหรัฐฯในถนนวิทยุ ถัดจากตึก All Seasons ไปไม่มาก โดยสถานฑูตจะไม่อนุญาตให้คนเอาสิ่งใดๆเข้าไปในสถานฑูตเลย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ทุกชนิด รวมถึงกระเป๋าถือ ดังนั้นแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเอาอะไรไปเลยจะดีที่สุด ไม่งั้นต้องฝากของหน้าสถานฑูตอีก แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เอาไป การฝากของไม่ได้ยากมาก
การไปถึงสถานฑูตแนะนำให้ไปถึงก่อน 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ตอนไปถึงจะมีคิวยาวเหยียดอยู่หน้าสถานฑูตเพราะเค้าจะค่อยๆปล่อยเข้าไปทีละนิดๆ และถึงแม้คุณจะไปถึงก่อน 1 ชั่วโมง ก็จะมีคนไปต่อก่อนแล้วเสมอ และยาวด้วย จึงควรไปก่อนไม่งั้นเสียเวลาเพิ่มอีกหลายชั่วโมงแน่ๆ
การยืนรอตรงนั้นจะน่าเบื่อมาก วันนั้นเราไม่เอาอะไรไปเลยเพราะวางไว้ที่ออฟฟิศ All Seasons หมด ปรากฎว่าทุกนาทีผ่านไปอย่างทรมานมาก ไม่มีมือถือไว้กด ไม่มีเพลงฟัง ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอๆๆๆๆ แต่ก็รู้สึกดีที่ไม่ได้เอาของไปเพราะขี้เกียจฝากของ (ได้อย่างเสียอย่าง)
เมื่อถึงเวลาก็จะมีผู้หญิงหน้าตาดีถึงดีมากเดินมาแจกบัตรคิว คาดว่าสถานฑูตคงคิดมาแล้วให้คนที่ใจอ่อนไปต่อคิวใหม่ จะได้เจอหน้าเรื่อยๆ แต่เราไม่ติดกับหรอกๆ โหะๆๆๆ โดยเราได้รอบ 7:10 น. คิวที่เราอุตส่าห์มาต่อตั้งแต่ 6 โมง ก็ถูกแยกเป็นสองแถว เพิ่งรู้ว่ามีคนได้นัดตอน 7 โมงด้วย ซึ่งพวกนั้นจะถูกเกณฑ์ออกมาเพื่อแซงคิวขึ้นก่อน เฮ้ออออ ชั้นจะมารอตั้งแต่ 6 โมงทำไมเนี่ย T_T แต่ก็ยังดี คนได้รอบ 7 โมงมีน้อยมาก เสียเวลาเพิ่มไปอีกแค่ราวๆ 20 นาทีเท่านั้น จากนั้นเราก็ได้เข้าสถานฑูตสักที
หน้าประตูสถานฑูตจะมี Security จาก G4S คอยตรวจทุกอย่างคุมเข้มกว่าสนามบิน และต้องฝากของทุกอย่างไว้ที่ตรงนั้น ส่วนเราไม่ได้เอาอะไรไปเลยก็เลยเดินเข้าไปตัวเปล่า ยามทำหน้างงๆเล็กน้อยเพราะคนแบบนี้น่าจะมีไม่เยอะ จากที่เราเห็นด้วยตาเปล่า คิว 50 คนก่อนหน้าเราไม่มีใครตัวเปล่าแบบเราเลย เหอะๆ (ข้อดีของการที่ออฟฟิศอยู่ข้างสถานฑูต) และพอผ่านตรงนี้ได้ยามก็จะให้บัตรสีฟ้าๆเพื่อกรอกที่อยู่สำหรับจัดส่งวีซ่ากลับ ยามที่นี่อินเตอร์นะ เค้าถามว่าเราขอวีซ่าแบบไหน เราตอบว่า "บีหนึ่งครับ" เค้านิ่งไปแป๊บนึงแล้วก็ตอบกลับว่า "อ้อ บีวัน" .... โทษครับ - -
พอเข้าไปก็ต่อแถวเพื่อตรวจเอกสาร ระหว่างต่อแถวก็ต้องกรอกใบสีฟ้าให้เสร็จเรียบร้อย ถ้าถึงโต๊ะแล้วยังไม่ได้กรอกเค้าจะไล่ไปต่อใหม่ ดังนั้นตรงนี้ต้องเตรียมปากกาไปด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน
พอผ่านจุดนี้ไปได้ก็จะเข้าถึงจุดสแกนลายนิ้วมือ มีอยู่สามช่อง ใช้เวลาเฉลี่ยต่อคนประมาณ 3-10 นาที เป็นคอขวดที่รอเหนื่อยมาก เอิ๊กๆ
พอผ่านตรงนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ประตูสวรรค์ ... หรืออาจจะเป็นประตูนรกสำหรับหลายๆคน เพราะมันคือห้องรอสัมภาษณ์นั่นเอง โดยการสัมภาษณ์นั้นไม่เหมือนกับการสัมภาษณ์งานหรอกนะ แต่เป็นคอกๆเหมือนติดต่อราชการหนะ แล้วทุกคอกก็มีลำโพงเสียงดังๆ สัมภาษณ์ทีก็ได้ยินกันทุกคน เหะๆ แต่ไม่ใช่ว่าเข้าไปแล้วจะได้สัมภาษณ์เลยนะ ต้องนั่งรอตามคิวอีก ซึ่งเรียกได้ว่ายาวมากกกกกกกก อาจจะต้องรอประมาณ 1-2 ชั่วโมงเลย โดยเค้าจะเรียกไปทีละ 10 คนให้ไปต่อแถวแล้วก็สัมภาษณ์ทีละคนๆ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อคน ถ้าตอนไหนคนเริ่มรอเยอะเค้าก็จะเปิดช่องเพิ่มให้ คิวก็จะลดเร็วขึ้นอีกหน่อยนึง
อันนี้คนสัมภาษณ์เป็นคนเมกา แต่สามารถพูดได้ทั้งไทยและอังกฤษ บรรยากาศการสัมภาษณ์อยู่ในช่วง "ชิวถึงชิวมาก" บางช่องเล่นตลกเลยทีเดียว ฮากันกระจาย จากที่ยืนฟังคนอื่นสัมภาษณ์มาสัก 30 คน (เจือกโดยแท้อิเนย) พบว่า 28 คนสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย อีก 2 คนสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ตรงนี้เราก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมอ่ะนะ ได้แต่ภาวนาว่าขอภาษาไทยเถิดนะ เถิดนะ เถิดนะ
หลังจากยืนรอไปราวๆ 1 ชั่วโมง สุดท้ายก็ถึงคิวเรา ด้วยการที่รอมานานมาก ความตื่นเต้นเลยไม่มีเลย เรียกได้ว่าเหลือ 0 การสัมภาษณ์จึงค่อนข้างสบายๆชิวๆ
กงสุล: สวัสดีครับ
เนย: สวัสดีครับ
กงสุล: เคยไปอเมริกามาก่อนหรือเปล่าครับ
เนย: ไม่เคยครับผม
กงสุล: ไปทำอะไรอเมริกาครับ
เนย: ไป Conference แล้วก็ไป Business Talk ครับ (ตอนนั้นนึกคำภาษาไทยไม่ออกจริง)
กงสุล (มองหน้า): ดูคุณเหมือนจะพูดอังกฤษได้ So let us talk in English, OK?
เนย: Yes I could, but not so good ....
จากนั้นการสัมภาษณ์ก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ภาษาอังกฤษล้วน คำภาวนาไม่เป็นผล หรืออาจจะเกิดจากการกระแดะคิดคำไทยไม่ออกเองก็เป็นได้ T_T
หลักๆเค้าถามว่าเราไปทำอะไร บริษัทหัวลำโพงคือใคร ทำอะไร แล้วก็ .... จบ !! หลักฐานอื่นไม่เอาเลย Statement ก็ไม่เอาไป และที่สำคัญ การสัมภาษณ์จบลงภายใน 4 นาที เรียกได้ว่าสั้นที่สุดตั้งแต่เห็นยืนรอมาเลย เล่นเอาเสียววาบว่า เฮ้ย ! เราทำอะไรผิดรึเปล่าาาาาาา ทำไมมันง่ายแบบนี้ แต่พอมาถามใน Twitter ก็เลยได้รู้ว่า การสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษจะง่ายกว่าภาษาไทย และโอกาสได้จะง่ายกว่า ก็เลยอุ่นใจขึ้นนิดหน่อย แต่หลักๆส่วนตัวว่าน่าจะเพราะความฉะฉานในการตอบด้วยแหละมั้ง เหมือนจุดประสงค์ชัดเจนและเราก็ยืนยันได้ว่าเราเป็นใคร ไม่ทำอันตรายต่อประเทศเค้าแน่นอน และไม่ไปหางานทำเอาดาบหน้าที่สหรัฐฯแน่นอน ไรงี้
จบการสัมภาษณ์ก็เอาใบสีฟ้าไปซื้อซองไปรษณีย์เพื่อให้ทางสถานฑูตส่งวีซ่ากลับมาที่บ้านภายใน 1 อาทิตย์ จะได้หรือไม่ได้และได้นานแค่ไหน ไปรอลุ้นกันอีกทีที่บ้าน เฮ~~~~~~
สรุป ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงตั้งแต่เริ่มต่อแถวจนถึงออกมา ประกอบด้วย 2 ชั่วโมง 50 นาทีในการรอรอรอรอรอรอและก็รอ อีก 10 นาทีสำหรับทำโปรเซส .... เอิ่ม - -
ก็ขอให้จดหมายที่จะส่งมาที่บ้านเป็นข่าวดีละกันนะ รออย่างใจจดใจจ่อ
และนี่ก็คงเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ทำในชีวิตนี้ .... "บินไปเมกาเพื่อไปคุยงาน" ....
โปรดติดตามตอนต่อไปจ๊ะ