"เวลามีค่ามากกว่าเงิน"
ในวันที่ผมฆ่าตัวตาย
26 Mar 2012 14:10   [237195 views]

และแล้วก็มาถึง Blog ที่ 500 ... เขียนไปเขียนมาก็ครึ่งพันแล้วหรอเนี่ย ถึงแม้จะช้ากว่าที่ควรจะเป็นเพราะพักหลังไม่ว่างเขียน Blog เลยก็ตาม แต่ก็โอเคอยู่นะ


และเป็นความตั้งใจตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน ว่า Blog ที่ 500 เราอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของชีวิตช่วงหนึ่งที่ผ่านพ้นมาอย่างยากลำบาก มีทั้งการตัดสินใจที่ผิดพลาด มีทั้งการเติบโต แต่ก็ลังเลอยู่สักพักเพราะเป็นเรื่องที่ Sensitive มากทีเดียว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเขียนละกัน เพราะคติสั้นๆที่อยู่ในหัวเรามาตลอดคือ


สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์เดรัจฉานคือความสามารถในการสืบทอดสิ่งที่ดีและไม่ดีให้รุ่นต่อไป


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ชีวิตมันสั้นนะ และในวันที่เราตายจากไปเราก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว จะคงเหลือก็แต่สิ่งที่สร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือสิ่งที่พอจะสืบทอดให้แก่คนรุ่นหลังได้ และนี่ก็คือเรื่องของผมใน 25 ปีแรกที่ลืมตาดูโลกมา


เรื่องมันมีอยู่ว่าชีวิตของคนที่ชื่อว่านู๋เนยนี้ ในสายตาหลายๆคนอาจจะดูเหมือนว่าสวยงาม แต่จริงๆถ้าใครรู้จักจริงๆจะรู้ว่าชีวิตลำบากมาก และเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะเติบโตมาด้วยความยากลำบากทุกประการที่มนุษย์คนหนึ่งจะเจอได้ มีปัญหาครบถ้วนตั้งแต่ครอบครัว เงิน เวลา เพื่อน ความอบอุ่น และทุกอย่างที่ท่านจะคิดได้ ... ยกเว้นอย่างนึงคือยาเสพย์ติด เพราะถึงแม้ชีวิตเกือบตลอดเวลาจะมีแต่ปัญหา แต่ก็ไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับมันเลย (หล่อป่ะหละ) มีปัญหาเยอะจนกระทั่งเคยตัดสินใจไม่ขออยู่บนโลกแล้ว


ชีวิตวัยเด็กก่อน 7 ขวบเป็นคนมีกะตังค์อยู่บ้าง อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้ แต่ถามว่าเป็นช่วงที่มีความสุขหรอ? คำตอบคือไม่รู้ .... เพราะจำความไม่ได้ จำอะไรแทบไม่ได้เลยจนกระทั่ง 10 ขวบโน่นแหนะ ดังนั้นเนยจึงไม่มีชีวิตในวัยเด็ก เพราะจำอะไรไม่ได้เลย ... ไม่รู้ว่าเพราะจำความไม่ได้ หรือว่าความจำเสื่อม หรือว่าเลือกที่จะไม่จำก็ไม่รู้เหมือนกัน


ช่วงประมาณ ป.5-ป.6 ชีวิตพลิกผัน เพราะฐานะทางบ้านถูกเปลี่ยนขั้วจากบวกเป็นลบ และลบแบบไม่เบาซะด้วย เพราะลบไปทีเดียว 10 ล้านเลย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาครอบครัวและปัญหาการเงิน ถึงตอนนั้นจะยังจำความไม่ได้ แต่สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนและบ่มให้เนยกลายเป็นอีกคน ไม่ร่าเริงอีกต่อไป ไม่รู้จักคำนั้นเลยหละ ตอนนั้นมีอีกหลายเรื่องประดังเข้ามา เป็นเวลาสองปีที่เหนื่อยล้าใช้ได้เลย


แต่กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็คือช่วงม.1 เพราะเป็นช่วงแรกที่เริ่มจำอะไรได้ แต่ ณ นาทีนั้นความรู้สึกหดหู่ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เด็กชายสิทธิพลคนนี้กลายเป็นคนเก็บตัวและเป็นโรคซึมเศร้าหม่นหมองลงเรื่อยๆ วันทุกวันเฝ้าแต่คิดว่าจะหาเงินยังไงเพื่อใช้หนี้ทั้งหมดให้พ่อแม่และครอบครัวได้ ตอนเด็กๆเงิน 20 บาทมีค่ามาก เราก็อดข้าวเช้าและเที่ยงทุกวันแล้วก็โกหกที่บ้านว่ากินแล้วเพื่อประหยัดเงินวันละ 20-30 บาท ซึ่งสุดท้ายเป็นโรคกระเพาะจนอ้วกเป็นเลือดไปโดยปริยาย กว่าจะหายก็เสียค่ายามากกว่าเงินที่ประหยัดไปอีกมั้ง เจ็บตัวอีกตะหาก แต่ก็เด็กอ่ะนะ ...


ตอนกลางวัน ในขณะที่เพื่อนๆพักเที่ยงไปเตะบอลกัน เด็กชายคนนี้ก็เข้าห้องสมุดไม่ก็ห้องคอมพ์ เพราะวนอยู่กับความคิดเรื่องหาเงินๆๆๆๆ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคนเก็บตัว อยู่ตัวคนเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อน สุดท้ายจึงได้เป็นโปรแกรมเมอร์เพราะอยู่กับมันตลอดเวลา และอย่างน้อยตอนคุยกับคอมพ์มันก็ไม่เคยดูถูกเรา อาจจะมีคิดเลขเร็วกว่าเราหน่อยนึง แต่เรามีความสุข ...


จากนั้นชีวิตก็เติบโตมาเรื่อยๆท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่แย่ลงเรื่อยๆ ต้องเจอคนรอบตัวทะเลาะกันทุกวัน ต้องเจอสิ่งที่ทำให้เป็นไมเกรนทุกวัน การใช้ชีวิตในฐานะคนใช้เงินพ่อแม่ไปวันๆก็ค่อยๆสิ้นสุดลง เปลี่ยนเป็นความกดดันของชีวิตคนที่ต้องเลิกขอเงินพ่อแม่และหาเงินให้ได้มาเลี้ยงพ่อแม่และใช้หนี้ ก็เลยไปเป็นนักล่ารางวัล แข่งงานโน้นงานนี้เพื่อหาเงินไปเรื่อยระหว่างเรียน ...


รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นคนที่ทำบ้าอะไรได้ทุกอย่าง เขียนโปรแกรม วาดรูป ดีไซน์ แต่ความสามารถด้านสังคมแทบไม่มี พูดไม่รู้เรื่องเพราะวันๆเอาแต่เล่นคอมพ์ จะบอกว่าเป็น Geek โดยสมบูรณ์แบบก็คงไม่ผิดอะไร กลายเป็นคนที่เติบโตและมีความสามารถจากการดูถูกและกดดัน ในขณะที่ความสามารถพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่จิตใจกลับดิ่งลงเหวลงเรื่อยๆ สิทธิพลกลายเป็นคนซึมเศร้าโดยสมบูรณ์ ทุกอย่างในโลกมันช่างมืดมน โลกมันช่างโหดร้าย โลกนี้ไม่มีอะไรดี


หลังจากสั่งสมความกดดันและความซึมเศร้ามานับสิบปี มีหลายครั้งที่แอบกินยาพาราฯจำนวนมากๆ แต่ผลคือตื่นมาไม่เป็นอะไรและใช้ชีวิตต่อไปได้ แต่ที่หนักสุดคือเมื่อหลายปีที่แล้ว มีสิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจอย่างรุนรแง เรียกได้ว่าเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่จิตใจตกต่ำที่สุดในชีวิต ณ วันนั้นเลยตัดสินใจไม่ขออยู่บนโลกนี้แล้ว ... แบบจริงจัง (นับเป็นครั้งที่ 11 ของการพยายามฆ่าตัวตาย)


ด้วยความโง่เง่าของเราคราวนั้น จึงหยิบยาพาราฯมากินหมดกล่อง 50 เม็ด ตามด้วยยาแก้แพ้มีฤทธิ์ง่วงซึมอีก 50 เม็ด ... ด้วยความเชื่อว่าจะได้นอนหลับแล้วจากไปอย่างมีความสุข ... แต่มันเป็นความเชื่อที่ผิดนะฮ้าบ เพราะฤทธิ์ของมันทำให้นอนหลับก็จริง แต่คุณจะไม่ตาย ตรงกันข้าม เมื่อคุณตื่นขึ้นมาในสภาพเจียนตายนั้น คุณจะต้องทุกทรมานกับการอ้วกอย่างรุนแรง หากไม่มีใครช่วยคุณคุณถึงจะได้ตายสมใจ หลังจากทรมานดิ้นพราดครึ่งวัน เพราะยาพาราที่กินไปเกินขนาดจะไปทำลายเม็ดเลือด ร่างกายคุณจะซีด และส่งผลให้ทุกอย่างผิดปกติ หากสรุปสั้นๆก็คือ "โคตรทรมาน"


วันนั้นข้าพเจ้าก็เช่นกัน ตื่นขึ้นมาแล้วก็อ้วกๆๆๆๆๆ อ้วกๆๆๆๆๆ สุดท้ายจึงเป็นลมนอนอยู่ตรงพื้นห้องน้ำ พอฟื้นคืนสติก็รู้สึกทรมานมาก เลยให้ที่บ้านพาไปโรงบาลและหมอก็จับเข้าห้องฉุกเฉินและ Admit ด่วน (โดยไม่มีใครรู้สาเหตุ เพราะอาการเกือบเหมือนอาหารเป็นพิษขั้นรุนแรง) ตอนนั้นรู้สึกตัวแต่เบลอมาก หมอเอาเข็มแทงแต่เราไม่รู้สึก โลกมันลอยๆ ได้ยินแต่คำพูดหมอว่า "ทำไมถึงซีดแบบนี้" และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คืออยู่บนห้องแล้ว


การไปนอนโรงบาลครั้งนี้เปลี่ยนชีวิตเราไป เวลาเพียง 3 วันที่นอนอยู่ที่นั่น ภาพตลอดสิบกว่าปีที่จำความได้ก็ลอยเข้ามา เหมือนตอนคนจะตายแล้วภาพทุกอย่างลอยเข้ามาในหัวนั่นแหละ ทำให้ได้เห็นว่าตัวเองเจออะไรมาบ้าง ตัวเองเติบโตมากแค่ไหน ทำให้คิดอะไรได้เยอะมาก มันทำให้คิดได้ว่าถ้าเราตายไปจริงๆ คนรอบข้างจะรู้สึกยังไง หรือเรายังไม่ได้ทำอะไรบ้าง เราพร้อมแล้วหรือที่จะตาย ก็ใช้เวลานั่งคิดสิ่งที่ตัวเองทำลงไป นั่งคิดสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ฯลฯ จึงเกิดเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ... "จุดมุ่งหมายของชีวิต" และ "การใช้เวลาให้มีค่า"


เมื่อออกจากโรงพยาบาล โลกเปลี่ยนไป ถึงโรคซึมเศร้าจะยังอยู่ แต่เรารู้ตัวและพร้อมสู้กับมันตลอดเวลา ไม่ต่างกับที่ต้องสู้กับไมเกรนอยู่ทุกวันตอนนี้ เมื่อใดที่ซึมเศร้าเราจะหากำลังใจใส่ชีวิตทันที ชีวิตจากวันนั้นไม่ได้เศร้าหมองอีกแล้ว สิทธิพลเปลี่ยนเป็นคนร่าเริง เข้าสังคมเก่งขึ้น ทำอะไรเพื่อคนอื่นมากขึ้น หลายครั้งเติมพลังตัวเองด้วยการเล่นตลกให้คนอื่นหัวเราะ โลกนี้ช่างมีความสุข เรารู้สึกตัวเองมีความหมาย


ชีวิตจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลของการงี่เง่าคราวนั้นก็ทำให้สุขภาพแย่ลงไปไม่น้อย รู้สึกอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวร้ายแรงและบัดซบแค่ไหน ก็ไม่คิดจะฆ่าตัวตายอีกเลย ความคิดตอนนี้คือ ปัญหามีไว้แก้ไข อุปสรรคมีไว้ฝ่าฝัน อะไรไม่ดีก็ปล่อยไป ไม่เก็บไว้ มีจุดมุ่งหมายในชีวิตชัดเจน และที่สำคัญ ... ตอนนี้เนยเป็นคนกลัวยาพาราไปแล้ว อย่าไปแต่จะกินเลย แค่เห็นยังไม่ได้เลย ดังนั้นอย่าเอายามาแกล้งกันนะ


ณ จุดนี้อยากให้ความรู้ว่าไม่มีการฆ่าตัวตายวิธีไหนไม่ทรมาน
ความจริงของการกินยานอนหลับเกินขนาด คุณจะไม่ได้นอนหลับตายอย่างมีความสุข แต่คุณจะลุกขึ้นมาทรมานด้วยการหายใจไม่ออก อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ประสาททุกส่วนถูกกด สุดท้ายกว่าจะตายก็เป็นชั่วโมงด้วยการหายใจไม่ออกตายไม่ก็หัวใจหยุดทำงาน ตายอย่างทรมาน หรือการกินยาล้างห้องน้ำ ไม่ต้องให้ถึงหลอดอาหารหรอกครับ แค่เข้าปากปากคุณก็ไหม้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าลงหลอดอาหารจะเป็นยังไง ถ้าคุณไม่ตายคุณก็ต้องตัดลำไส้หรือหลอดอาหารส่วนที่เสียหายทิ้ง และใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนตาย แต่ถ้าตายคุณก็จะตายด้วยการเลือดออกจากอวัยวะภายในและอ้วกเป็นเลือดจนตาย


ณ ตอนนี้ ก็ยังคงต้องแบกรับภาระหนี้สินกว่า 6 ล้านอยู่ เงินจากคนตัวคนเดียวนี้มีไว้หาเลี้ยง 4 ชีวิตและใช้หนี้ ค่อนข้างเหนื่อยและทรมาน หลายคนสงสัยว่าทำไมเนยต้องทำงานหนักขนาดนี้ ก็ด้วยเหตุผลนี้แหละ แต่ชีวิตก็ไม่คิดจะยอมแพ้ สู้ต่อไป สิ่งที่ Mind มากสุดในนาทีนี้คือ "เวลา" เราไม่ใช่คนที่จะทำงานหาเงินไปวันๆ แต่เวลาสำหรับเราคือ "ต้นทุน" สำหรับการ "ลงทุน" เราทำงานเพื่ออนาคต เพื่อให้เงินงอกเงย ดังนั้นหากใครขโมยเวลาเราไปทำให้เราต้องเสียเวลาสร้างอนาคต เราจะหงุดหงิดมาก เหตุนี้เอง พักหลังเราจึงไม่ค่อยโผล่ไปที่ไหนเท่าไหร่ หรืองานไหนที่จัดไม่ดีลากยาวๆเราก็จะอยู่ไม่นาน เพราะสำหรับเรา "เวลามีค่ามากกว่าเงิน" เสียอีก ... ก็ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาทรมานและเหนื่อยมาตลอด และก็ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ จะใช้หนี้ให้ที่บ้านหมดก่อนตายมั้ย ดังนั้นเลยต้องทำงานแข่งกับสิ่งที่เอาคืนมาไม่ได้อย่างเวลานั่นเอง


สำหรับเนย กว่าจะคิดได้ว่าชีวิตมีความหมายเพียงใด ก็ต้องผ่านเรื่องราวร้ายแรงจนเกือบตายมาแล้ว แต่คงจะดีกว่า ถ้าคุณสามารถคิดได้โดยไม่ต้องเฉียดตายก่อน เพราะคุณอาจจะไม่มีโอกาสที่สองเหมือนผม


ชีวิตนี้มีความหมาย คนเราเกิดมาก็ต้องตายทุกคน

แต่ก่อนตาย คุณได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์ต่อสังคม

และได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้วหรือยัง?

.... ถ้ายังก็ทำซะนะ =)


สำหรับคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย ให้คนแสนคนมาบอกว่าชีวิตคนอื่นที่ทรมานกว่าเรามีตั้งเยอะ ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก เพราะมันเป็นเรื่องของ "จิตใจ" ล้วนๆ ดังนั้นผมขอสายตรงถึงคุณคนที่คิดจะฆ่าตัวตายละกันว่า ขอให้มองว่าชีวิตมันคือ "ความท้าทาย" ไม่เคยมีอะไรที่ง่ายหรอกครับ แต่คุณต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นให้ได้ว่า "คุณสามารถฟันฝ่ามันไปได้" มันเท่กว่าการฆ่าตัวตายเป็นแสนเท่าเลย ชีวิตที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร จะมีค่ามากมายขึ้นมาทันที ขอเพียงแค่กลับความคิดเท่านั้นครับ สู้ๆ เราจะสู้ไปด้วยกันนน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Apr 6, 2012, 22:28
23304 views
สวัสดีวีซ่าสิบปีเมกา
Apr 15, 2012, 14:04
21463 views
นักวิทยาศาสตร์พบต้นเหตุ Crop Circle แล้ว
0 Comment(s)
Loading