ไม่ได้เขียน Blog นานมาก หะหะ ยังอยู่นะยังอยู่แค่ช่วงนี้งานเลี้ยงนกฮูกมันหนักมากหนะ ^^"
Blog วันนี้มาเขียนเพื่อตอบคำถามน้อง @chakrit ที่เคย mention มาถามว่าคิดยังไงกับบทความนี้ "The Great App Bubble"
โดยบทความพูดถึงการที่ผู้เขียนได้รับ iPhone 4 มาใช้และหลังจากโหลดแอพฯมา 87 ตัวและเรียบเรียงเข้า Folder เรียบร้อยก็พบว่าเค้าใช้จริงๆแค่ 5 แอพฯเท่านั้น ผู้เขียนเลยให้ความเห็นว่านี่คือภาวะ App Bubble
1) แอพฯไม่สร้างรายได้ให้แก่นักพัฒนา - ลองหารจำนวนเงินดูแล้ว รายได้เฉลี่ยต่อโปรแกรมมีแค่ $4,444 หรือประมาณ 135,000 บาทต่อแอพฯเท่านั้น
2) แอพฯก็ไม่สร้างรายได้ให้แก่แอปเปิ้ลด้วยเช่นกัน - AppleInsider เคยบอกว่า App Store ไม่ใช่ตัวสร้างรายได้หลัก
3) ผู้ใช้ไม่เห็นว่าแอพฯที่โหลดมามีค่ามากนัก
4) แอปเปิ้ลอวดแต่จำนวนแอพฯแต่ไม่เคยพูดถึงคุณค่าของแอพฯ
5) นักการตลาดทุ่มเงินไปกับการทำแอพฯไอโฟนมากกว่าเอาเงินไปปรับปรุงเว็บทั้งๆที่เว็บเปิดจากมือถือได้ทุกเจ้า ในขณะที่ค่าทำแอพฯแพงกว่าค่าปรับปรุงเว็บถึง 10 เท่า
6) มีแอพฯเยอะเกินไป การจะหาแอพฯสักตัวที่อยากใช้ต้องใช้เวลาและความพยายามสูงมาก
ส่วนนี้คือความเห็นของข้าพเจ้า:
ส่วนตัวเห็นว่าบทความนี้ไม่ได้เขียนผิดเพียงแต่เป็นบทความที่เขียนมาจากมุมมองส่วนตัวของ User คนนึง ไม่ใช่มุมมองนักวิเคราะห์ที่มองตลาดส่วนรวมเท่าไหร่ เพราะความจริงแล้วในโลกนี้แต่ละคนมีอุปนิสัยการใช้งานต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนที่โหลด 87 แอพฯแล้วใช้แค่ 5 แอพฯ จึงห้ามคิดว่าบทความนี้จะสามารถสื่อถึงตลาดโดยรวมของโลกได้
แล้วเป็นความจริงมั้ยที่แอพฯไม่สร้างรายได้ให้แก่นักพัฒนา? ... จุดนี้เค้าอุตส่าห์หารกันมาเรียบร้อยแล้ว แต่ดั๊นนนหารมาได้ดื้อมากเพราะในบรรดาหลายแสนแอพฯจริงๆมีแอพฯที่ไม่ฟรีอยู่ประมาณครึ่งนึงและในบรรดาแอพฯที่ไม่ฟรีนั้นมีเพียง 5% เท่านั้นที่หาเงินเป็นกอบเป็นกำได้ แถมมีอีกเป็นหมื่นแอพฯที่เขียนแอพฯมาแบบไม่ลงทุนอะไรเลย สรุปแล้วเราไม่สามารถเอาค่าเฉลี่ยมาคิดอะไรพวกนี้ได้หรอก
แต่ถ้าถามว่าจริงมั้ยที่แอพฯไม่สร้างรายได้ให้นักพัฒนา อันนี้ก็คงต้องตอบว่าจริงอยู่นะเพราะจริงๆแล้วมีแอพฯอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เองที่ทำเงินได้ แต่ตัวที่ทำเงินได้ก็ทำได้เยอะเหลือเกินในขณะที่ตัวที่ทำไม่ได้ก็สิ้นเนื้อประดาตัวกันไป (เว่อร์มะ) App Store ตอนนี้เป็น Red Ocean ที่แสนน่ากลัวที่ไม่แนะนำให้ใครทำแอพฯขายเอง(มาสักพักแล้ว) ต้องมีความพร้อมอย่างสุดซึ้งและความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมทางการตลาด รวมถึงจับสลากได้ (แปลง่ายๆว่าโชคต้องช่วย) แอพฯถึงจะไม่เจ๊ง ทางที่จะหาเงินได้ของการทำแอพฯมือถือนาทีนี้คือ "รับจ้างทำ" ครับ
แล้วแอพฯไม่สร้างรายได้แก่แอปเปิ้ลหรอ? ... บอกได้ตรงนี้เลยครับว่า "ไม่จริง" คำนวณเป็นเงินแล้วอาจจะกำไรไม่เยอะเท่าการขายสิ้นค้าชนิดอื่นของแอปเปิ้ลแต่ Share จาก App Store ก็ยังเยอะมากยู่ดี เยอะพอที่แอปเปิ้ลจะตัดสินใจลดราคาสินค้าของตัวเองลงเพื่อหวังเก็บเงินจากค่าแอพฯได้ ;)
แล้วที่บอกว่าผู้ใช้ไม่เห็นว่าแอพฯที่โหลดมามีค่ามากนัก? อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่รู้จะตอบยังไงเลยทีเดียว มันเป็นเรื่องปกติป่ะที่เวลาซื้อของมาแล้วไม่ถูกใจก็วางไว้อ่ะ แต่ถ้าถูกใจก็ใช้ไปเรื่อยๆ ยิ่งโปรแกรมใน App Store มีให้โหลดฟรีเยอะๆแล้วก็โหลดกันกระหน่ำ ถ้าจะบอกว่าผู้ใช้ไม่เห็นค่าของแอพฯต้องโทษว่าตอนโหลดแอพฯจะโหลดมาทำไมมากกว่า -0- สรุปแล้วมันเป็นเรื่องปกติแหละ แต่ก็ถือว่าข้อดีนะเพราะแอพฯมีโอกาสกระจายไปทั่วได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงได้มากขึ้น :)
เรื่องการทุ่มเงินไปกับการทำแอพฯไอโฟนมากเกินไปแต่ไม่ยอมเอาเงินไปปรับปรุงเว็บนี่ ได้ยินแล้วเจ็บปวดแทนแบรนด์ต่างๆ ... เพราะมันจริง!!! ๕๕๕ แต่แอบกระซิบว่าพักหลังในช่วงครึ่งปีนี้เนยได้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจ หลายเจ้าคิดจะไปทำเว็บเพื่อให้สนับสนุนมือถือรุ่นต่างๆเยอะขึ้นแทนที่จะนั่งทำแอพฯเพียงอย่างเดียว อีกสักพักคงได้เห็น Case Study ที่น่าสนใจกัน
สรุปแล้วเรื่อง App Bubble มันจริงตรงที่มันมีแอพฯเยอะเกินไปจริงๆ โอกาสหาเงินจาก Store ตรงนี้มีไม่มากและโอกาสเจ๊งมีสูงกว่าโอกาสรอด แต่นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่กลไกตลาดจะต้องมีการขับเคลื่อนไปและเป็น Constraint ของการแข่งขันที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา การแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ใช่การตีโพยตีพายว่าจะขายแอพฯยังไง(วะ) เพราะทุกวันนี้มันไม่ง่ายแบบวันที่ iPhone ออกใหม่ๆแล้ว แต่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ
- คิดให้ออกว่าจะทำยังไงให้แอพฯมีความแตกต่าง -
- คิดให้ออกว่าทำยังไงให้แอพฯมีคุณค่าเพียงพอให้คนอยากใช้ -
- คิดให้ออกว่ากลุ่มผู้ใช้คุณคือใคร -
- และคิดให้ออกว่าคุณจะทำให้คนหาโปรแกรมคุณเจอได้อย่างไร -
โจทย์การทำแอพฯมือถือทุกวันนี้มันถือว่ายากมาก ไม่ใช่แค่คิดว่าจะทำอะไร แต่ต้องคิดด้วยว่าจะโปรโมทแอพฯยังไงรวมถึงต้องคิดอีกว่าจะทำแอพฯให้แพลตฟอร์มไหนและเหมาะสมมั้ย แต่ผมว่ามันท้าทายดีนะ :)