"อย่าอิจฉาคนที่มีแฟนน่ารัก แต่จงอิจฉาคนที่มีแฟนที่รักกันสุดหัวใจ"
หนึ่งคืนที่ยาวนาน
15 Nov 2010 00:25   [4431 views]

คืนวันก่อนซึ่งตรงกับคืนวันที่ 11 หรือเช้าวันที่ 12 หรือจะบอกว่าเป็นคืนวันพฤหัสบดีก็คงไม่ผิด (จะร่ายยาวทำไมหละเนี่ย)


โดยคืนวันนั้นอาจจะเป็นแค่อีกคืนหนึ่งที่ผ่านไป ถ้าหากมันไม่ใช่ค่ำคืนที่ "เรื่องบังเอิญ" บางเรื่องโคจรมาพบกันจนเกือบได้บังเอิญบาดเจ็บหนัก

เรื่องมันเริ่มจากที่คืนนั้นจริงๆแล้วเรานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ จนตีหนึ่งก็มีคนโทรมารายงานว่าอาการไม่ค่อยดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความเป็นห่วงตัวเราก็เลยต้องปิดคอมพ์แล้วก็ออกไปรับคุณเธอกลับห้องโดยที่ไม่มีแพลนมาก่อน ก็คงไม่มีอะไรมั้ง


แต่ก่อนจะออกไปก็มีอะไรบางอย่างที่ต้องเคลียร์พอดี ก็เลยต้องนั่งทำงานต่ออีก 5 นาที จากนั้นก็ออกจากออฟฟิศขึ้นแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปรับคุณเธอทันที


ระหว่างทางทุกอย่างก็ปกติ ยกเว้นที่เห็นกระต่ายสีขาวตัวน้อยวิ่งเล่นอยู่ตรงแยกลุมพินี มันมาจากไหนนะ -*- (ตอนนั้นยังทวีตบอกอยู่เลยเพราะเห็นมันน่ารักดี)


จากนั้นก็นั่งรถต่อไปอีกไม่นาน เราก็ไม่ทำอะไรมากมาย อยู่บนแท็กซี่นะเฟ้ยยย ก็นั่งฟังเพลงไป ทวีตโน่นนี่ไปตามประสา อยู่ดีๆพี่แท็กซี่ก็กระแทกเบรคแบบนิ่งๆไปหนึ่งดอกแล้วก็ปล่อย ตอนนั้นเราเริ่มจับเบาะแล้ว แล้วพี่แกปล่อยเบรคไปได้ 0.75 วิ จากนั้นพี่แกเหยียบเบรคตัวโก่งสุดชีวิตเหมือนโกรธคันเบรคมาจากไหน ส่วนเราที่นั่งเบาะหลังก็เข้าใจคำว่าเบรคหัวทิ่มคืออะไร -_- ก็ยังโชคดีที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก (เรียกว่าโชคดีได้เปล่าวะ) ก็เลยรู้ว่าควรจะทำยังไง


ที่ทำก็คือ

1) หาที่เกาะให้มั่น (เสี้ยววินาทีนั้นคว้าได้แต่เบาะหน้า)

2) มองออกไปข้างหน้ากระจกว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อให้รู้ว่าที่ทำข้อ 1 ไปหนะมันควรรึเปล่า -*- รวมถึงควรจะทำอะไรต่อเพื่อไม่ให้เจ็บตัว ณ นาทีนั้นเห็นรถแท็กซี่คันหน้าเบรคตัวโก่งพอกันและชนเข้ากับอะไรสักอย่าง

3) หันหลังดูว่ามีรถตามมารึเปล่าเพราะเบรคกะทันหันแบบนี้ โอกาสที่โดนคันหลังชนสูงกว่าการไปชนคันหน้าเสียอีก ซึ่งเราที่นั่งอยู่เบาะหลังอาจจะเจ็บหนักได้

4) มือจิกเท้าจิก ลุ้นฉิบหาย


หมายเหตุ:
ทั้งหมดต้องทำให้หมดภายใน 0.5 วินาที กรุณาบริหารคอให้แข็งแรงก่อนทำทุกครั้ง


ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแท็กซี่คันที่นั่งใช้เบรคของอะไร สามารถเบรคได้ก่อนถึงจุดปะทะเพียงไม่กี่เมตร ถ้าให้กะก็คงประมาณ 30 เมตรได้ (ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับระยะเบรคหรือแม้แต่ระยะการขับรถ) และก็โชคดีอย่างยิ่งที่ไม่มีรถตามมา (เพราะพี่แกขับเร็วอิ๊บอ๋าย ใครจะตามเมิงทัน! เบรคทันก็บุญแล้ว!!)


ตอนนั้นเสียงอะไรดังไปหมด อื้ออึงงึมงัม ที่ดังสุดคือเสียงเบรครถคันที่นั่งอยู่นี่แหละ และอาจจะไปประสานเสียงกับคันหน้าและคันอื่นอีกด้วยมั้ง แล้วเสียงโครมเบาๆก็ดังขึ้น (อย่าถามนะว่าทำไมเบา ได้ยินก็บุญละนาทีนั้น)


เมื่อเหตุการณ์สงบนิ่งลง ภาพทั้งหมดเริ่มชัดเจนขึ้น เผยให้เห็นยานเคโรโระตกลงมาเบื้องหน้า...


....ไม่ใช่เวลามาเล่นสินะ -_-


เผยให้เห็นแท็กซี่ชนเข้ากับรถอีกคันนึง ที่น่าแปลกใจคือมันไม่ได้ชนท้ายนี่สิ... แต่เป็นการเอาหน้าชนกันเลย! ส่วนบรรยากาศรอบๆก็เงียบสงบ ควันขึ้นโขมงร้อนฉ่าเหมือนในหนังเลย มองแทบไม่เห็นอะไรข้างใน


นาทีนั้นแท็กซี่ก็พูดขึ้นมาว่า "มันขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย" เรื่องราวทั้งหมดจึงถุกปะติดปะต่อขึ้นว่า มีรถขับสวนขึ้นมาบนสะพานและขับมาด้วยความเร็วสูง ส่วนแท็กซี่ก็ขับมาตามปกติ (ขอให้นึกละกันว่าแท็กซี่ตอนกลางคืนขับปกตินั้นเป็นยังไง) จากนั้นพอถึงยอดสะพานต่างคนก็ไม่เห็นกันและมาเจอกันในระยะไม่ถึง 50 เมตรและเบรคสุดตัว แต่ต่อให้เบรค ABS ทั้งคู่ก็ไม่ทันหรอก เพราะดูแล้วแท็กซี่คันหน้าก็วิ่งมา 120 เป็นอย่างต่ำ ส่วนอีกฝั่งก็คงเร็วพอกัน


ตามหลักฟิสิกส์กันเลยทีเดียว มันเหมือนรถที่ขับ 200 พุ่งชนเข้ากำแพงนั่นแหละ (และกำแพงไม่ได้มีไว้พุ่งชนนะจ๊ะเด็กๆ)


จากนั้นพี่แท็กก็ขับรถมาเทียบข้างๆที่รถชนก็พบว่าคนขับแท็กซี่ฟุบอยู่กับพวงมาลัย ส่วนทางรถที่ขับสวนมาเริ่มมีการเคลื่อนไหวด้วยการมีคนเดินออกมาจากรถ 1 คน


เนยก็เลยบอกให้พี่แท็กจอดรถแล้วลงไปช่วยกัน พี่แท็กก็จอดแล้วกระโดดลงไปอย่างไว ทางเราก็สตาร์ทรถพี่แท็กแล้วขโมยขับออกไปเลย... ก็เชี่ยละ ก็กระโดดตามลงไปเซ่!! แล้ววิ่งผ่านรถคันที่ขับสวนมาอย่างไม่ใยดี (ทั้งๆที่รถก็พังยับเหมือนกัน) เพื่อไปหาพี่คนขับที่เห็นว่าฟุบอยู่ ซึ่งก็โชคดีที่พอไปถึงพี่เค้าแค่ฟุบลงไปเพราะเจ็บข้อเท้าอย่างมาก ซึ่งก็ชัดเจนว่าข้อเท้าหักจากการที่มันไปกระแทกตอนชนนั่นเอง


พอเห็นแบบนั้นก็เลยไปไล่เช็คอาการทีละคนเพราะการชนถือว่าหนักมาก รถทั้งสองคันชนจนไม่เหลือกระโปรงหน้า เกือบไปถึงที่นั่งคนขับแล้ว ก็พบว่าผู้โดยสารรถแท็กซี่อยู่ในอาการงุนงงสับสน เข้าไปคุยว่าเป็นอะไรมั้ยครับ ป้าแกก็มองหน้าแล้วก็ก้มหน้ากดมือถือแล้วก็วางแล้วก็กดแล้วก็วาง ดูแล้วก็คงน่าช็อคอยู่หรอกเพราะรถแท็กซี่คันนั้นสภาพแย่มาก เบาะที่ป้านั่งอยู่ถึงกับพลิกข้างเลย (แต่ก็ยังนั่งอยู่ได้)


เลยเดินไปเช็คคันที่ผิด ปรากฎว่านั่งช็อคตัวสั่นกันอยู่ในรถ 3-4 คนท่ามกลางควันสีขาวปกคลุมทั่วทั้งในรถ เราก็เลยบอกให้ลงมานั่งข้างๆทาง หลบๆหน่อย นั่งในรถมันอันตราย ถ้าอยู่ต่อในรถจะเป็นลมหรือ Hyperven ได้ ทุกคนก็ลงมาแต่โดยดีแล้วก็ไปนั่งหายใจหืดหอบอยู่ข้างทางตามประสาคนหัวใจเต้นเร็ว


สภาพของแต่ละคนก็ครบเลย มีคนแขนหัก หัวแตกเลือกอาบหน้า เจ็บข้างในแถวๆหน้าอก แต่ที่ไม่เป็นอะไรเลยคือคนขับ (ซึ่งอยู่ในสภาพเมาเต็มที่) ทางด้านแท็กซี่ก็ข้อเท้าหัก ประตูพังจนเปิดไม่ได้ ต้องอาศัยเปิดหน้าต่างให้หายใจแทน ทางเราก็ได้แต่ช่วยเค้าถอดเสื้อเพราะเค้าจะเป็นลม


ทุกคนตอนนั้นดูตกใจอย่างแรง เราก็ทำงานถนัดคืองานทางจิตวิทยา ไล่คุยทีละคนเพื่อสอบถามอาการจะได้ไม่ให้ทำอะไรแผลงๆ รวมถึงคุยเล่นจนเค้าเริ่มเย็นลง ทุกคนก็สติกลับมา ยกเว้นผู้โดยสารรถแท็กซี่... สติแตกไปเรียบร้อย ไม่สามารถกู่กลับมาได้ T_T


เดินคุยไปคุยมา เดินกลับมาหาคนแขนหัก... เฮ้ย!! เพื่อนที่เจ็บหน้าอกนอนทับแขนซะงั้น!! เราเลยเดินเข้าไป คนแขนหักหันมามองเราพร้อมบอกว่า "พี่ ช่วยที ยกเพื่อนผมออกหน่อย ผมไม่ไหวแล้ว แขนผมหัก" ทั้งๆที่เค้านั่งอยู่ข้างตำรวจตั้งนานไม่บอก แต่ดั้นนนมาบอกเรา แต่เพื่อนเค้าเป็นผู้หญิงเราก็เลยไม่กล้าแตะต้องตัว เลยบอกให้ตำรวจช่วยประคองออกหน่อย ตำรวจก็ทำหน้าตกใจบอกว่า "ประคองยังไง ผมทำไม่เป็น ให้ผมทำยังไง ผมทำไม่เป็น" ฮ่วยย แต่ก็เข้าใจ มันไม่ใช่หน้าที่ตำรวจ


สุดท้ายเราก็เลยขยับตัวเค้าออกมาหน่อยแทน แล้วก็บังคับส่งต่อให้ตำรวจ เหะๆ (นาทีนั้นไม่รู้ว่าคนที่เจ็บหน้าอกอาการหนักแค่ไหนเลยไม่กล้าขยับตัวมาก แค่ประคองแล้วให้ไปซบตำรวจแทน ^^")


งานนี้ไม่มีใครคุยว่าใครถูกใครผิดเพราะเห็นชัดๆว่าใครผิด เมาและขับจนสวนเลนขึ้นมา แต่อย่างนึงที่เราสงสัยมาก คำถามที่หลายคนคงอยากรู้เหมือนกัน "รถคันนั้นขึ้นมาได้ยังไง" เราเลยมองลงไปก็พบว่าสะพานที่เราอยู่นั้นจริงๆเป็นสะพานที่ตอนกลางวันจะวิ่งสวนเลนกันได้ แต่ตอนกลางคืนจะเป็น One Way และก็ชัดเจนว่าคนขับนึกว่าเลนตรงนี้เปิดอยู่ในเวลานั้น ผสมกับการที่คนขับเมาเต็มที่ (จาก RCA ชัวร์เพราะอยู่แถวนั้นพอดี) ก็เลยเลือกจะขึ้นสะพานแบบไม่ลังเล


แต่... เหตุการณ์นี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้ามีกรวยหรืออะไรกั้นไม่ให้รถเปลี่ยนเลนเพื่อวิ่งขึ้นมา เพราะจริงๆแล้วต้องบอกว่าสภาพของสะพานตรงนั้นมันเป็นทางโค้งเล็กน้อยเพื่อขึ้นสะพาน หากไปตามทางโค้งจะขึ้นสะพานอีกฝั่งนึงได้ แต่ถ้าเกิดขับตรงมาตรงทางโค้งมันจะเปลี่ยนเลนเพื่อขึ้นสะพานอีกฝั่งโดยอัตโนมัติ เรียกว่าผมที่ไม่รู้ทาง ผมก็อาจจะขึ้นสะพานมาเหมือนกันโดยไม่ต้องเมา


...สาเหตุส่วนหนึ่งจึงอาจจะเป็นเพราะความสะเพร่าของตำรวจจราจรด้วยเช่นกัน...


ระยะเวลาที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่นั้นประมาณ 20 นาที กู้ภัยไม่มาสักที คนหัวแตกก็เลือดอาบจนเลือดหยุดไหลไปแล้ว คนแขนหักกระดูกก็ประสานไปเรียบร้อย.... บ้าเรอะ ไม่ใช่บากิ!!


ก็นั่นแหละ ว่าแต่ อีะๆ ลืมอะไรไปรึเปล่า? กลับไปอ่านบรรทัดแรกๆ ... ใช่ เราต้องไปรับคนกลับบ้าน!!! พอเห็นทุกคนไม่ Panic แล้วและประคองสติตัวเองได้แล้ว (จะมีก็แต่พี่คนขับแท็กซี่ที่เห็นแล้วยังเจ็บแทนเลย ดิ้นพราดจนสุดท้ายตอนออกมาก็แทบจะเป็นลมแล้ว) ก็เลยสอนวิธีรักษาคนเป็น Hyperven ให้พี่คนนึงไปเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วก็ร่ำลาทุกท่าน ทักทายราวกับคนสนิทกันไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบเหตุหรือตำรวจ -_- แล้วก็นั่งแท็กซี่อีกคันต่อไปรับคุณเธอกลับบ้าน (กว่าจะโบกรถได้เกือบโดนพี่โสฉุด น่ากลัวแสรดดด) ซึ่งตอนที่ขึ้นแท็กซี่ก็เห็นรถกู้ภัยกู้ชีพขับสวนขึ้นไปเพื่อช่วยเหลือเรียบร้อย (ขับสวนได้หวาดเสียวมาก)


หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ช่วยคนหัวแตกมาแล้วก็ไปช่วยคนอ้วกแตกต่อ ฮ่าๆๆๆ แต่งานนี้ไม่เหนื่อยมาก สบายๆ ^_^


พอจบภารกิจก็ขอลากลับไปทำงานต่อที่ออฟฟิศ ระหว่างนั่งแท็กซี่ขากลับก็คิดอะไรหลายอย่าง


ถ้าเกิดคืนนั้นเธอไม่บังเอิญอาการหนัก เราก็คงไม่ต้องเจอเรื่องนี้

ถ้าเกิดตอนที่เธอโทรมาแล้วออกไปเลย ไม่นั่งเคลียร์งานต่ออีก 5 นาทีเราก็คงไม่ต้องเจอเช่นกัน

ถ้ารถคันที่เรานั่งเบรคไม่ทันเราคงเป็นผู้ประสบเหตุไปอีกคนและไม่รู้ว่าจะเจ็บแค่ไหน

หรือถ้ารถคันนี้ขับแซงคันที่เกิดเหตุไปในช่วงก่อนหน้านี้หละ คันที่ชนเละนั่นก็คงเป็นคันของเรา

ณ นาทีนั้น ก็เริ่มเห็นค่าของการมีชีวิตและเป็นอีกครั้งที่เข้าใจคำว่า


จงทำวันนี้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย

มีความสุขกับมัน

ความทุกข์เป็นเพียงอุปสรรค สลัดมันทิ้งให้ไวที่สุด อย่าเก็บมันไว้ให้ทรมาน

และจงมีความฝันแล้วทำมันให้เป็นจริงก่อนที่จะไม่มีโอกาส


ก็มันไม่ใช่ความผิดใครหรอกที่เราต้องมาเจอเรื่องนี้ เราแค่สงสัยว่าทำไมนะ โอกาสที่จะได้เจอมันไม่ได้เยอะซะหน่อย หรือพระเจ้าต้องการบอกอะไรกับเรา?


ก็โชคดีที่เรื่องราวจบไปด้วยการที่ไม่มีใครบาดเจ็บหนักหรือเสียชีวิต แต่สภาพรถทั้งสองคันก็เละจนไม่สามารถนำไปซ่อมได้แล้วแน่นอน แต่ที่คงจะชำรุดไปอีกจนตลอดชีวิตคือจิตใจของคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น มองในแง่ดี เค้าคงจะประมาทน้อยลง แต่ในแง่ร้าย เค้าคงจะโดนเรื่องนี้หลอกหลอนไปจนวันตาย...


ขอจบบันทึกหนึ่งคืนที่ยาวนานแต่เพียงเท่านี้ ใช้ชีวิตด้วยสติไม่ประมาทเมาไม่ขับนะจ๊ะ ทุกคน ;)

บทความที่เกี่ยวข้อง

Dec 6, 2010, 18:14
8749 views
The Social Network
Nov 10, 2010, 20:26
6172 views
ทำไมแอพฯดีๆไม่มีบนบาด้า
0 Comment(s)
Loading