ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาชอบทำนาย Tech Trend เรื่อย ๆ ว่าอะไรกำลังจะมา อะไรกำลังจะไป ต้องศึกษาอะไรเพื่อให้วิ่งไปดักหน้ายุคที่กำลังจะมาทันก่อนคนอื่น
ก็ทำนายมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ยุคมือถือโบราณว่า Smart Phone จะมานะ พอ Smart Phone มาก็ทำนายว่าตัวไหนจะเหลือรอด ยุค web3 ก็ทำนายโน่นนี่ GameFi เอย NFT เอย ล่าสุดไม่กี่ปีก่อนก็ทำนายว่า AI กำลังจะมาปฏิวัติอุตสาหกรรมนะ
ที่ชอบทำนายไม่ได้อะไรหรอก สนุกดี ถูกบ้างผิดบ้าง จุดประสงค์ก็แค่ให้คนเอาไปคิดต่อและประยุกต์ในแบบของตัวเองไปแค่น้านนน ไม่ได้จะตั้งสำนัก
และสิ่งที่มึน ๆ ก็มาถึง เพราะ 1-2 ปีที่ผ่านมาพอมีคนถามว่าโลก Tech จะเป็นยังไงต่อไป จะมีอะไรใหม่มาบ้าง ... นึกคำตอบไม่ถูก
ไม่ใช่ไม่เห็นว่าจะเป็นยังไงต่อ แต่ภาพที่เห็นมันไปในทางขาลง ไม่ใช่ภาพแห่งความก้าวหน้าที่เห็นมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่เป็นภาพของห้วงเวลาแห่ง "การชดใช้" เพื่อให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่สมดุล ซึ่งคำตอบของคำถามว่า Tech จะไปทางไหนเลยตอบยาก เพราะภาพที่ชัดกว่ามันกว้างกว่านั้นคือมนุษยชาติกำลังจะไปทางไหนและต้องเจออะไรมากกว่า
มนุษย์ก้าวหน้า แต่โลกกลับถูกทำลาย
ตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมมา ความก้าวหน้าทางวัตถุของมนุษย์นั้นเติบโตแบบก้าวกระโดดมาก เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นมาแต่สิ่งที่ขาดไปคือมนุษย์ไม่ได้ศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะต่อสิ่งแวดล้อม สังคมมนุษย์หรือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
ส่วนหนึ่งก็เพราะผลกระทบเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดระยะยาว ในขณะที่แต่ละประเทศมีเวลาสั้นมากในการพัฒนาทุกอย่างให้เหนือคู่แข่ง สุดท้ายผลกระทบระยะยาวก็เลยถูกมองข้ามไปหรือเรียกว่าไม่สนใจเลยก็ว่าได้
เวลาผ่านไป ผลกระทบค่อย ๆ เกิดขึ้น แต่มนุษย์ก็ยังไม่สังเกตเห็นเพราะสถานการณ์เหมือนต้มกบ มันค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนมนุษย์ไม่ทันมองเห็น ในขณะเดียวกัน การแข่งขันระหว่างประเทศก็สูงขึ้นอีก ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดเพิ่มขึ้นมา นอกจากจะไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว มนุษย์กลับเลือกวางระเบิดเพิ่มเรื่อย ๆ อีกต่างหาก
รู้ตัวอีกทีผลกระทบเหล่านั้นก็เริ่มบังเกิดผล สิ่งที่คนอาจจะเริ่มเห็นแล้วสภาวะโลกเดือด ตัวเลขออกมาชัดเจนแล้วว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นหลายองศาและมีแนวโน้มว่าจะแย่ลงอีก
ถึงจะไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่าเป็นเพราะมนุษย์กี่เปอร์เซ็นต์ เพราะมันก็อาจจะเกิดจากธรรมชาติเองก็ได้เนอะ แต่จากการศึกษา มันเกิดจากมนุษย์เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักแน่นอน
นอกจากโลกเดือดแล้ว ก็มีอย่างอื่นอีกที่เกิดจากมนุษย์ เช่นการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งส่งผลอย่างอื่นตามมาอย่างเป็นลูกโซ่ หรือการกระจายของไมโครพลาสติกในทุกอณูของสรรพสิ่งจนอยู่ในจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว
ที่ผ่านมามนุษย์เลือกที่จะทำลายธรรมชาติเพื่อแลกกับความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น ผลลัพธ์คือธรรมชาติก็แย่ลง ในขณะที่จิตใจมนุษย์ก็แย่ลงด้วยจากกิเลสและความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งเหตุและปัจจัยเหล่านี้ก็ได้พาโลกมาสู่จุดนี้ จุดที่ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอลง จุดที่โลกสภาพอากาศแย่ลง จุดที่สัตว์สูญพันธุ์ไปมากมาย ในทางตรงกันข้าม มนุษย์กลับมีประชากรเพิ่มขึ้นและแต่ละคนก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นจนทำให้สมดุลทั้งหมดเสียไปเป็นที่เรียบร้อย
มันน่าตลกตรงที่มนุษย์ตื่นเต้นกับการทะเยอทะยานไปตั้งอาณานิคมในดาวดวงอื่นที่ไม่รู้จะอยู่อาศัยได้มั้ย แต่กลับเลือกเพิกเฉยกับการทำลายดาวที่ตัวเองอยู่ ดาวที่รู้อยู่แล้วว่าพวกเราอาศัยอยู่ได้
ในภาวะขาดสมดุลนี้คงต้องบอกอย่างนึงว่ามันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เราเลยจุดนั้นมานานแล้ว เพราะในจุดที่ยังพอแก้ไขได้มนุษยชาติกลับเลือกจะเดินหน้าต่อไป สิ่งเดียวที่ทำได้หลังจากนี้คือการ "ยอมรับผลที่ตามมา"
อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
สิ่งที่เราคิดว่าจะตามมาคือ อากาศโลกจะแปรปรวนถึงขีดสุด ร้อนมาก ฝนตกหนักมาก หนาวมาก ธรรมชาติไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยทั้งกับคน สัตว์และพืช ความสามารถในการผลิตอาหารลดลง เกิดการแก่งแย่งทรัพยากรในทุกวิธีแม้กระทั่งต้องฆ่าฟันกัน สุขภาพคนแย่ลง ประชากรกลุ่มที่มีคุณภาพจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้คิดอะไรมากจะมีประชากรเพิ่มขึ้นซึ่งจะสร้างเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในเจเนอเรชันถัดไป
ที่พูดมานี้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ระหว่างนี้เศรษฐกิจจะค่อย ๆ ย่อยยับลง วิกฤติต่าง ๆ ที่ทับถมมานานจากระบบการเงินและการฟุ้งเฟ้อจะระเบิดออก หลายประเทศจะล้มละลาย สกุลเงินมากมายจะไร้ค่า ซึ่งจะทำให้โลกโกลาหลขึ้นไปอีก
และกว่าคนจะเริ่มหาหนทางได้ก็น่าจะปี 2030 เป็นอย่างน้อย ระหว่างนี้จำเป็นมากที่จะต้องเก็บหอมรอมริบและกระจายความเสี่ยงในทรัพย์สินที่ถืออยู่ คริปโตน่าจะมีบทบาทอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ใช่ทุกเหรียญ จะเป็นแค่บางเหรียญเท่านั้น
ส่วนโลกที่สมดุลเสีย กว่าจะปรับสมดุลกลับได้ก็น่าจะอีกหลายสิบปี หลายสิ่งคงหลีกหนีไม่ได้แล้ว เช่นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจนท่วมหลายพื้นที่ เหลือแค่รอเวลา
ทางด้านสังคมมนุษย์ ด้วยหลาย ๆ ปัจจัยทำให้ส่วนตัวมองว่าจะเสื่อมลงเรื่อย ๆ อาจจะมีบ้างที่ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็จะกลับร่วงลงไปอีก
ช่วงเวลาแห่งการชดใช้นี้จะดำเนินไปจนกว่าสถานการณ์จะพลิกกับ ซึ่งจะใช้เวลานานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะเริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีที่กระทำต่อโลกเมื่อไหร่ แต่ส่วนตัวว่าน่าจะหลัก 50-100 ปี
สู่หนทางแห่ง Sustainability
สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีคือมนุษย์จะเริ่มคำนึงถึงผลกระทบมากขึ้น (แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด) และสิ่งที่ทำลายธรรมชาติจะเริ่มถูกต่อต้านและเปลี่ยนแปลงทีละอย่าง
ในการผลิตที่ผ่านมา มนุษย์ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่นักว่าจะปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ ส่งผลกระทบยังไง ส่วนหนึ่งก็เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ อีกส่วนก็เพราะอยากเอาชนะและอยากดิ้นรนเอาตัวรอดจนไม่สนใจอะไร
หลังจากนี้แบรนด์ใหญ่ ๆ จะเริ่มดึงเอาขั้นตอนการผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อมออกไปทีละอย่าง และแทนที่ด้วยขั้นตอนการผลิตที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมขึ้น หรือที่เรียกว่า Green Supply Chain
สุดท้ายแบรนด์จะแข่งกันว่าใคร Green กว่ากัน ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ดี
หากใครอยากจะอัปสกิลอะไรดักหน้า แนะนำให้ลองศึกษางานสายนี้ เพราะมันจะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมไปในอีก 10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าที่บอกว่ากรีนเนี่ยมันกรีนจริง ๆ หรือเปล่า หรือสุดท้ายจะส่งผลกระทบทางอ้อมอย่างอื่นอีก ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้ามันก็กรีนนะ แต่พอแบตหมดแล้วก็ Recycle ยาก
แต่แน่นอนว่ามันก็อาจจะตามมาด้วยโอกาส คราวนี้เทคโนโลยีและกิจการ Recycle EV Battery ก็จะเป็นที่ต้องการเพิ่มอย่างมากในอนาคต สุดท้ายก็อาจจะกรีนและ Sustainable อย่างที่เราตั้งใจกันไว้อย่างสมบูรณ์แบบก็ได้นะ
AI เปลี่ยนโลกไปโดยสิ้นเชิง
มีการถกเถียงมากมายว่า AI จะมาแทนที่ตำแหน่งงาน หรือแค่ว่าคนที่ใช้ AI เป็นจะมาแทนที่คนใช้ AI ไม่เป็น
คำตอบของเราคือ "ทั้งสองอย่าง"
จะมีทั้งตำแหน่งงานที่ AI มาช่วย (Assistant) ในขณะที่บางตำแหน่งงาน AI จะมาแทนที่ (Replace) เลย
หลาย ๆ คนอาจจะยังมองภาพไม่ออกเพราะอาจจะยังติดภาพ AI ที่มีอยู่ ณ ขณะนี้ แต่ไม่อยากให้คิดว่า AI ทำอะไรได้แล้ว แต่อยากให้ลองคิดว่า "AI กำลังจะทำอะไรได้" แล้วจะมองเห็นทิศทางในอนาคตมากขึ้น
สิ่งที่ดีของการมาของ AI คืออุตสาหกรรมจะก้าวหน้ามากขึ้น ต้นทุนลดลง แต่เรื่องที่แย่คือความต้องการมนุษย์ในการทำงานจะลดลง ส่วนตัวมองว่าจะลดลงไป 20-30% เลย ซึ่งเยอะมากกกก
ผลที่ตามมาคือความไม่สมดุลของการผลิตและกำลังจับจ่าย (เพราะคนตกงาน) จะทำให้เศรษฐกิจติดขัด ความเหลื่อมล้ำจะถ่างออกมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน คนรวยก็จะรวยเอา ๆ ผลประโยชน์จะเทไปทางนั้นเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ชาวบ้านกลับจนลง ๆ สุดท้ายความวุ่นวายในสังคมจะเกิดขึ้น
ทุนนิยมจำเป็นต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อรับมือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ประเทศที่ปรับตัวได้จะหาหนทางให้ประชาชนในประเทศไปต่อได้ แต่ประเทศที่ไม่ได้วางแผนรับมือไว้ ความจลาจลจะบังเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
โลกที่หมุนเร็วเกินไป
ตลอดชีวิตมานี้โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่ได้อยู่ในวงการที่หมุนไวมาก ๆ อย่าง Tech
และสิ่งที่สังเกตเห็นได้คือ "มันหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ"
แต่ก่อนสิ่งที่รู้จะไร้ค่าลงไปใน 3 ปี พอเวลาผ่านไปไม่นานก็เหลือ 2 ปี สักแป๊บปีเดียว ส่วนตอนนี้มันเร็วมากจนเหลือในหลักเดือนแล้ว
การหมุนเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้อาจจะฟังดูเป็นเรื่องดีต่อวิทยาการ แต่กับสังคมมนุษย์แล้วมันเป็นดาบสองคม
มนุษย์อาจจะสะดวกสบายขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือการที่ทุกคนต้องเหนื่อยล้ากับการติดตามเพื่อไม่ให้ตัวเองล้าหลังและตกงาน
มนุษย์อาจจะจำเป็นต้องเข้าสู่ช่วง Slow Down บ้าง แต่ก็คงยากเพราะตราบใดที่แต่ละประเทศยังจ้องต่อสู้และทำร้ายกันแทนที่จะร่วมมือกัน หนทางเดียวก็คือปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ทุกอย่างจะระเบิดออกมาเองเท่านั้น
ในแง่ของปัจเจกแล้ว ทุกคนอาจต้องวางแผนว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่หมุนไวแบบนี้ยังไง หนึ่งในนั้นคือแผน Early Retired ที่อาจจะช่วยยกคุณภาพจิตใจให้ใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีความสุข
ส่งท้าย
จากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างที่ค่อนข้างใหญ่ แต่มันจะเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป เราอาจต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจยาวไปจนถึงปี 2030 อยากให้ทุกคนอดออมและบริหารเงินให้ดี
สุดท้ายแล้วโลกจะไม่แตก มันก็จะอยู่ของมันอย่างนั้น แต่มันจะวิ่งเข้าหาสมดุลในทางที่มันควรจะเป็น เมื่อมนุษย์เลือกจะทำลายสมดุล สิ่งที่ต้องจ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือผลที่ตามมา
เราอาจจะเลือกสะดวกสบายในช่วงหนึ่ง พวกเราก็ต้องยอมรับความลำบากสุดชีวิตในอีกช่วงหนึ่งเช่นกัน
สุดท้ายแล้วโลกจะหมุนไปในทางที่มันจะเป็น ต่อให้พยายามต้านทานแค่ไหน มันก็จะเป็นไปตามทางของมัน
และถ้าใครมองออกว่ามันกำลังจะหมุนไปทางไหน คนนั้นจะได้เปรียบและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ก่อนคนอื่นครับ