"ประสบการณ์เป็นครูที่ดีที่สุด"
บันทึกการต่ออายุวีซ่า B1/B2 อเมริกาผ่านทางไปรษณีย์
29 May 2024 17:13   [14760 views]

วันก่อนเปิดพาสปอร์ตตัวเองดูเล่น ๆ แบบวาดฝันว่าเผื่อจะบินไปพักที่เมกาสักหน่อย ปรากฎแว่ ... วีซ่าท่องเที่ยว (B1/B2) หมด !!! ได้แต่เอามือทาบอก นี่ผ่านไปสิบปีแล้วหรอนี่ คำว่าชราภาพก็ลอยเข้ามาในหัวทันใด คิดปุ๊บตีนกาก็เพิ่มขึ้นมาอีก 3 เส้น

ก็รู้มาสักพักแล้วว่าเราสามารถต่อทางไปรษณีย์ได้ ก็เลยใช้โอกาสนี้ลองต่ออายุด้วยวิธีนี้ดู ซึ่งก็ได้มาเรียบร้อย ใช้เวลาทั้งหมด 14 วันถ้วน ก็เลยขอมาจดขั้นตอนและคำถามที่อาจจะลอยขึ้นมาในหัวของแต่ละคนระหว่างแต่ละขั้นตอน เผื่อว่าจะมีประโยชน์ค้าบ (และก็จะจดเอาไว้อ่านเองด้วย เผื่อต้องต่ออีก ...)

ผู้มีสิทธิ์ต่อ B1/B2 ทางไปรษณีย์

ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถต่อทางไปรษณีย์ได้ (แต่ส่วนใหญ่ได้) ก่อนอื่นก็มีสำรวจก่อนว่ากรณีของเรามีคุณสมบัติครบที่จะต่อวีซ่า B1/B2 ทางไปรษณีย์มั้ย

1) ต้องเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและต้องอยู่ในไทยขณะทำการต่ออายุ

2) วีซ่า B1/B2 ใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุแล้วไม่เกิน 48 เดือน (4 ปี)

3) ไม่ได้ยื่นขอวีซ่าประเภท L เช่น L-1 อยู่

4) วีซ่า B1/B2 ล่าสุดที่ได้ต้องได้หลังอายุ 14 ปี

5) วันเดือนปีเกิดและสัญชาติในพาสปอร์ตเล่มปัจจุบันจะต้องตรงกับวีซ่าตัวล่าสุดที่ได้มา

6) วีซ่าไม่มีคำว่า “Clearance Received”, “Waiver Granted” หรือ “Fingerprints Waived” ในช่อง Annotation

7) ต้องไม่เคยถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐ ฯ นับตั้งแต่ที่ได้วีซ่าล่าสุดมา

8) ต้องไม่เคยถูกปฏิเสธการเดินทางเข้าสหรัฐ ฯ

9) ไม่เคยถูกจับกุมในไทย สหรัฐ ฯ หรือประเทศใด ๆ

10) วีซ่าที่ได้รับครั้งก่อนไม่ได้ถูกยกเลิก

11) ยังมีพาสปอร์ตเล่มที่ได้ B1/B2 อันล่าสุดอยู่

12) ต้องเคยพิมพ์ลายนิ้วมือครบ 10 นิ้ว ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550 ซึ่งคำนวณ ๆ ดูแล้วก็น่าจะพิมพ์กันทุกคนแล้วเพราะบล็อกนี้เขียนตอนปี 2567

ถ้าคุณสมบัติครบทุกข้อก็สามารถต่อทางไปรษณีย์ได้ครับ แต่ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งต้องนัดสัมภาษณ์เท่าน้านนนน

สิ่งที่ต้องรู้

ก่อนจะเริ่มทำก็มีสิ่งที่ต้องรู้เพื่อจัดการความคาดหวังไว้สักหน่อย คัดที่สำคัญ ๆ มาก็ประมาณนี้ครับ

1) ใช้เวลา 15 วันทำการ ไม่นับวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุด

2) มีโอกาสที่การต่ออายุจะไม่ได้รับการอนุมัติ ในกรณีนี้ทางสถานฑูตอาจจะเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ ซึ่งก็จะใช้เวลามากกว่า 15 วันนั่นเอง ให้เผื่อกรณีนี้ไว้ด้วย

3) กรณีที่ไม่ต้องสัมภาษณ์ เราสามารถรับเล่มคืนได้ทั้งแบบไปรับด้วยตัวเองหรือทางไปรษณีย์

4) มีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,000 - 8,000 บาท แล้วแต่ค่าเงิน ณ ขณะนั้น

ถ้าใครโอเคก็เริ่มทำกันเลย !

ขั้นตอนการต่อ B1/B2 ทางไปรษณีย์

ความจริงไม่ยากและค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ก็มีหลายขั้นตอนอยู่เหมือนกัน มีบางอย่างที่อาจจะงง ๆ เอ๊ะ ๆ หน่อยนึง เลยขอมาจดขั้นตอนทั้งหมดไว้ในส่วนนี้

ขั้นตอนที่ 1: ถ่ายรูป 2x2 นิ้วพร้อมไฟล์ดิจิตอล

รูปเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในการกรอกฟอร์มและตอนส่งไปรษณีย์ ดังนั้นอย่างแรกที่แนะนำก่อนเลยคือให้ไปถ่ายรูป โดยสิ่งที่ต้องการมีอยู่ 2 อย่างคือ

1) รูป 2x2 นิ้ว จำนวน 2 รูป (หรือจะอัดเพิ่มเผื่อไว้ก็ได้ เหลือดีกว่าขาดเนอะ)

2) ไฟล์ดิจิตอล

รูปแบบของรูปคือมาตรฐานวีซ่าสหรัฐ ฯ เลยคือ ห้ามใส่แว่น เห็นหูชัด พื้นหลังขาวและห้ามแต่งภาพใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนเสื้อผ้าไม่ต้องกังวลใด ๆ เพราะรูปใช้แค่หน้าอย่างเดียว อย่างเราก็ใส่เสื้อยืดธรรมดา ๆ นี่แหละ

แนะนำให้ไปร้านที่ถ่ายรูปสำหรับทำวีซ่าอยู่แล้ว เค้าจะได้แนะนำให้ถูกไม่ผิดพลาดครับ

ขั้นตอนที่ 2: กรอกฟอร์ม DS-160 และพิมพ์ออกมาให้เรียบร้อย

ขั้นตอนต่อไปก็อาจจะเหนื่อยหน่อยคือการกรอกฟอร์มเพื่อขอทำวีซ่าชั่วคราว มีอะไรให้ใส่เยอะมาก กรอกกันเป็นชั่วโมงและลอกกันไม่ได้ด้วยเพราะแต่ละคนกรอกไม่เหมือนกัน

1) เริ่มกรอกฟอร์มจากหน้านี้ Apply for a Nonimmigrant Visa ทำตามขั้นตอนเลยคือเลือกประเทศ ใส่โค้ดตามที่แสดงและกด Start an Application

2) กรอกข้อมูลรวดเดียวให้เสร็จ เพราะถ้าหยุดไปแค่ 20 นาทีต้องเริ่มกรอกใหม่ซึ่งมันบั่นทอนกำลังใจเป็นอย่างมาก

3) หลังจากกรอกเสร็จจะได้ Confirmation ออกมาเป็นหน้าสุดท้าย ให้บันทึกหน้านี้ลง PDF ด้วยวิธีที่ถนัดแล้วก็พิมพ์ออกมาให้เรียบร้อย เราต้องใช้ใบนี้แนบไปกับไปรษณีย์ด้วย

ซึ่งหน้าตาของใบ Confirmation จะเป็นประมาณนี้

พิมพ์ออกมาให้เรียบร้อยแล้วเก็บไว้ให้ดี ๆ ตัวเลข Confirmation No. นี้เป็นตัวเลขของเคสที่เปิดและจะถูกใช้ในขั้นตอนหลังจากนี้ทั้งหมด ห้ามทำหายเชียวนะ อย่างน้อยก็จดไว้สักที่นึง

ขั้นตอนที่ 3: สร้างโปรไฟล์บนเว็บ

DS-160 เป็นเหมือนการกรอกข้อมูลว่าเราอยากจะทำวีซ่านะ แต่โปรเซสก็จะยังไม่เริ่มถ้ายังไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นเราต้องไปชำระค่าธรรมเนียมให้เรียบร้อยก่อน

การจะชำระเงินได้ เราจะต้องสร้างโปรไฟล์ในเว็บสำหรับยื่นคำร้องขอวีซ่าอเมริกาก่อน ซึ่งเอาจริง ๆ คนที่ต่ออายุน่าจะมีอยู่แล้วเพราะต้องสมัครตั้งแต่การสมัคร B1/B2 ครั้งก่อน แต่ถ้าไม่มีหรือลืม เราสามารถสร้างไปรไฟล์ใหม่ได้เช่นกัน ซึ่งสามารถทำได้ที่นี่

หลังจากสร้างเสร็จแล้วก็ Login ให้เรียบร้อยแล้วก็ไปขั้นตอนต่อไปได้เล้ย

ขั้นตอนที่ 4: สร้างใบคำร้อง

หลังจาก Login เสร็จแล้วให้กดที่ New Application บนแถบด้านซ้ายแล้วก็เริ่มกรอกข้อมูลทีละหน้าไปเรื่อย ๆ โดยกรอกข้อมูลตามตรงให้ครบทุกหน้า สุดท้ายจะไปสุดอยู่หน้าของการชำระเงินซึ่งจะไปต่อไม่ได้จนกว่าจะชำระเงินเรียบร้อย

ขั้นตอนที่ 5: พิมพ์ใบสำหรับชำระเงิน

ในหน้าชำระเงินนั้นจะมีลิงก์ให้กดดูรายละเอียดชำระเงินทั้งหมด

การชำระเงินทำได้สองทาง วิธีแรกคือโอนผ่านระบบ Electronic Funds Transfer (EFT) โอนพวก Swift Code อะไรทำนองนี้ แต่อาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เราเลยไม่แนะนำ ส่วนวิธีที่สองคือไปชำระที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา อันนี้เร็วมากและไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม แค่ต้องเดินทางไปธนาคารนิดหน่อย ส่วนตัวแนะนำวิธีนี้

การชำระเงินผ่านธนาคาร เราจะต้องพิมพ์เอกสารสองอย่างด้วยกัน ได้แก่

1) ใบชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า - หน้าตาแบบด้านล่างนี้ ตัวเลข Virtual Account ID และ CGI Reference Number จะต้องเอาไปใช้กรอกในใบนำฝากเงิน

2) ใบนำฝากเงิน - เป็นใบนำฝากที่คล้าย ๆ กับที่เราเห็นว่าเค้ามีวางไว้ให้ในธนาคาร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นคนละใบกัน ที่ธนาคารจะไม่มีใบนี้ (ยกเว้นบางธนาคารที่คนไปจ่ายค่าวีซ่าเยอะมาก เช่น Emquartier) ดังนั้นต้องพิมพ์ไปด้วย ใครหาไม่เจอว่าอยู่ไหน โหลดจากที่นี่ได้เลยจ้า

หลังจากพิมพ์ทั้งสองใบแล้วก็กรอกข้อมูลในใบนำฝากเงินให้เรียบร้อย ถ้าใครกรอกไม่เป็นก็เอาใบเปล่า ๆ ไปธนาคารได้เลยเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ที่ธนาคารช่วยได้ครับ

ขั้นตอนที่ 4: ชำระเงิน

มุ่งหน้าไปธนาคารและชำระเงินให้เรียบร้อย ! สิ่งที่จะได้มาจากธนาคารคือใบเสร็จใบนึง ซึ่งต้องเก็บไว้เพราะต้องใส่ไปกับซองไปรษณีย์ด้วย ห้ามหายยยย

คำเตือน: การชำระเงินนี้เป็นแบบไม่สามารถขอคืนเงินได้ (Non-Refundable) เช็คให้เรียบร้อยว่าข้อมูลทุกอย่างถูก หากชำระผิดแม้แต่นิดเดียวก็จะโดนยึดเงินไปเลยแล้วก็ต้องจ่ายใหม่หมด ... ขู่ไปงั้นแหละ ส่วนใหญ่ไม่พลาดกันหรอก(มั้ง)

ขั้นตอนที่ 5: รอยืนยันการชำระเงิน

หลังชำระเงินแล้วไม่ใช่ว่าจะสามารถทำขั้นตอนต่อไปได้ทันที เราจะต้องรอให้ใบเสร็จถูกนำเข้าระบบก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหลังบ่ายสองของวันถัดไป ระหว่างนี้ก็รอ ร้อ รอ ไปนะคร้าบ

ซึ่งถ้าเข้าระบบแล้ว มันจะเมลมาบอกเราด้วยหัวข้อเมลว่า "MRV Fee Receipt Activated" ก็ไปขั้นตอนต่อไปได้เล้ย

ขั้นตอนที่ 6: ดำเนินการต่อ

หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเหมาะสม ให้เข้าไปที่เว็บเดิม แล้วก็ Login ให้เรียบร้อย จากนั้นกด Continue เพื่อดำเนินการต่อจากที่เราทำค้างไว้ (ซึ่งก็คือหน้าที่บอกรายละเอียดการชำระเงินนั่นแหละ)

ในหน้านั้นจะมีช่องให้กรอกหมายเลขใบเสร็จ (Receipt Number) ก็กรอกตัวเลขที่ได้มาจากขั้นตอนด้านบนได้เลย ถ้าใบเสร็จถูกนำเข้าระบบแล้ว มันจะพาไปหน้าต่อไปให้เราตอบคำถาม

สิ่งที่ต้องทำตรงนี้ก็คือตอบคำถามไปเรื่อย ๆ และหากมีหน้าไหนที่ถามว่าจะนัดสัมภาษณ์หรือต่ออายุทางไปรษณีย์ ก็ให้เลือกทางไปรษณีย์ ที่เหลือไม่มีอะไรมาก ทำตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ จนเสร็จครับ

ขั้นตอนที่ 7: พิมพ์เอกสารสำหรับแนบไปกับไปรษณีย์

หน้าสุดท้ายหลังจากตอบคำถามจนเสร็จจะเป็นหน้า Interview Waiver Confirmation Letter ให้พิมพ์ออกมาให้เรียบร้อย เพราะต้องใส่ไปกับซองไปรษณีย์ด้วยครับ หน้าตาแบบนี้

เท่านี้ก็เรียบร้อย ต่อไปเราก็เตรียมส่งทุกอย่างไปทางไปรษณีย์ได้เลย !

ขั้นตอนที่ 8: ยัดทุกอย่างเข้าซองเอกสาร

ถ้าเลื่อนดูในเอกสาร Interview Waiver Confirmation Letter จะเห็นว่ามันมีลิสต์อยู่ว่าเราจะต้องเอาอะไรใส่เข้าไปซองบ้าง ดังต่อไปนี้

1) Interview Waiver Confirmation Letter (ก็ใบนี้แหละ)

2) พาร์สปอร์ตเล่มใหม่ที่มีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า

3) พาร์สปอร์ตเล่มเก่าที่มีวีซ่า B1/B2 อยู่ จะยังไม่หมดอายุหรือหมดอายุไม่เกิน 48 เดือนก็ได้

4) DS-160 Confirmation Page (เอกสารที่เราพิมพ์ไว้ในขั้นตอนที่ 2)

5) รูปถ่ายสี 2x2 นิ้ว พื้นขาวจำนวน 2 รูป

6) ใบเสร็จยืนยันการชำระเงินค่าวีซ่า

7) ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อ ให้แนบใบเปลี่ยนชื่อไปด้วยพร้อมแปลภาษาอังกฤษ

8) ถ้าไม่ใช่คนไทย ต้องแสดงหลักฐานที่อยู่พำนักในไทยด้วย

ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเคส ๆ ไปครับ เช่นถ้าอายุไม่ถึง 14 จะต้องมีสูติบัตรแนบไปด้วย ฯลฯ ดูลิสต์ตามเอกสารที่พิมพ์มาได้เลยครับ

ยัดเอกสารทั้งหมดใส่ซองน้ำตาลได้เลย คำแนะนำเล็ก ๆ คือถ้ามีซองน้ำตาลที่มีซองกันน้ำข้างในจะดีมาก เพราะเป็นไปได้ที่เอกสารอาจจะเปียกด้วยฝนหรือด้วยอะไรก็ตามครับ

ขั้นตอนที่ 9: ยื่นซองเอกสารที่จุดรับยื่นเอกสาร

หิ้วซองเอกสารแถ่ก ๆ ๆ ๆ ไปที่จุดรับยื่นเอกสารได้เลย ซึ่งก็คือไปรษณีย์ไทยแหละ แต่ไม่ใช่ทุกสาขานะ ให้ไปดูตามลิสต์ดังนี้

1) กรุงเทพ ฯ และปริมณฑล

2) จังหวัดอื่น ๆ

ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ได้เลย บอกว่าจะมา Drop Off เอกสารเพื่อต่อวีซ่าสหรัฐ ฯ พนักงานจะเข้าใจทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่จะเอาใบปะหน้ามาให้ ให้เราแปะไปบนซอง กรอกข้อมูลผู้ส่งให้เรียบร้อย แล้วก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ได้เลย เค้าจะจิ้มจึก ๆ ๆ ๆ แป๊บนึง เราก็รอรับใบเสร็จพร้อม Tracking Number สำหรับตรวจสอบสถานะการส่ง แล้วก็เป็นอันเรียบร้อย กลับบ้านไปรอความหวังได้เลย ไม่ต้องชำระค่าบริการใด ๆ จ้า

ขั้นตอนที่ 10: ตรวจสอบสถานะ

หลังจากส่งเอกสารก็จะใจหวิว ๆ หน่อยนึง เอ๊ะ เอกสารจะตกหล่นมั้ยนะะะ เอ๊ะ เราลืมอะไรรึเปล่านะ เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ จะเอ๊ะไปเรื่อย

เพื่อลดความเอ๊ะและความนอยด์ เราสามารถตรวจสอบสถานะได้ด้วยตัวเองผ่านเว็บ CEAC ได้ตลอดเวลาจ้าาา

ตัว Visa Application Type ให้เลือก Non Immigratnt นะ แล้วก็มีทริคการใส่ข้อมูลด้วยนิดนึงคือ

ถ้าระบบขึ้นว่าหาข้อมูลไม่เจอ ให้ลองใส่ช่อง Passport Number และ First 5 Letters of Surname เป็น NA ดู

และถ้ามันขึ้นสถานะแล้ว วันดีคืนดีมันกลับไปขึ้นว่าหาไม่เจอ ลองใส่สองช่องนี้ตามจริงดู ผลลัพธ์จะออกมาครับ

ก็น่าจะเป็นความอ๊อง ๆ ของระบบนิดนึง จดไว้เพราะน่าจะเจอกันหลายคน

ถ้าข้อมูลถูกต้อง ระบบจะขึ้นแจ้งสถานะเป็นหน้าตาแบบนี้ครับ

โดยสถานะที่ขึ้นมาจะมีตั้งแต่

- No Status - ยังไม่ได้เริ่มขั้นตอน

Administrative Processing - กำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา

- Approved - อนุมัติแล้ว

- Issued - พิมพ์ใส่พาร์สปอร์ตแล้ว พร้อมส่งกลับให้เรา

อย่างไรก็ตาม หากขึ้น Refused เค้าจะส่งมาให้เรานัดสัมภาษณ์ ซึ่งเราก็ต้องนัดวันตามคิวของระบบ (ซึ่งอาจจะนาน) ผ่านเว็บเดิมครับ

สำหรับคนที่ขึ้น No Status ยาว ๆ ก็อย่าเพิ่งตกใจไป บางทีมันกระโดดจาก No Status ไป Approved หรือ Issued เลย คำแนะนำคือถ้า No Status เกิน 10 วันหลังจากส่งไปให้ติดต่อสถานฑูต แต่ถ้ายังไม่ถึง 10 วัน ให้รออย่างใจเย็น

สุดท้ายหลังจาก Issued แล้วก็รอให้สถานฑูตส่งเอกสารกลับมาให้เราได้ครับ ซึ่งถ้าเราเลือกจะให้เค้าส่งไปรษณีย์กลับมาที่บ้าน ก็แค่รอรับ แต่ถ้าให้เค้าส่งไปที่ที่ทำการไปรษณีย์ ก็สามารถตรวจสอบสถานะบนเว็บเดิม Apply for a US Visa ได้ ถ้าเอกสารถึงแล้วมันจะขึ้นมาว่า Your passport has been returned to post ครับ ก็เดินทางไปรับได้เลย

สำหรับเรา เราใช้เวลาทั้งหมด 9 วันทำการ (ไม่รวมเสาร์อาทิตย์และวันหยุด) แต่ถ้ารวมพวกวันหยุดแล้วก็ 14 วันถ้วนครับ ซึ่งถือว่าเร็วมาก ๆ แต่ไม่รับประกันนะว่าแต่ละคนจะใช้เวลาเท่ากัน บางคนอาจจะเร็วกว่าในขณะที่บางคนอาจจะช้ากว่าก็ได้

จบแล้วสำหรับบล็อกนี้ เชื่อว่าจะมีคนต้องต่ออายุด้วยท่านี้อีกหลายคนเลย ก็หวังว่าเนื้อหาจะมีประโยชน์คร้าบ

บทความที่เกี่ยวข้อง

Sep 12, 2023, 14:42
9323 views
สายแลนเทพอาจทำให้เสียงดีขึ้นจริง แต่มันอาจเกิดที่ "สมอง" ไม่ใช่ที่สาย
Apr 12, 2022, 15:38
22504 views
GameFi ไหนเล่าาา - เล่าเรื่อง GameFi ให้ฟังแบบหมดจดทุกหยดหยาด
0 Comment(s)
Loading