"ความสำเร็จเป็นผลของการผสมผสานกันอย่างลงตัวของโชคและฝีมือ"
บทสรุป Bada Dev Day
1 Apr 2010 23:50   [11606 views]

วันก่อนได้รับเกียรติจากทาง Whatphone และ Samsung Thailand เชิญให้ไปงาน Bada Developer Day ซึ่งแน่นอน เราไม่พลาดอยู่แล้วกับการได้เล่นของใหม่ๆ ก็เลยตัดสินใจไปโดยไม่ลังเล (ถึงจะมีปัญหากุกกักนิดหน่อยเพราะวันนั้นมีธุระเยอะ)

เลยขอเขียนสรุปเจ้า Bada ในมุมมอง Developer หน้าตาไม่ดีตัวเล็กๆคนนี้สักหน่อย

Bada คำนี้เป็นภาษาเกาหลีที่แปลว่า "มหาสมุทร" ซึ่งถูก Samsung จับมาใช้เป็นชื่อ OS ตัวใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจาก Linux โดยตัว Samsung เอง ตั้งแต่วันที่เปิดตัวจนถึงวันนี้ก็มีคำถามก่อเกิดขึ้นมากมายเช่น Bada มีดีอะไร จะเอาอะไรไปสู้กับ Android เป็นต้น ซึ่งวัน Bada Developer Day ก็ทำให้ค่อนข้างเห็นมุมมองของ Samsung ค่อนข้างกระจ่างขึ้นและได้เห็นทางรอดที่ไปได้แน่ๆของ Bada


การตลาดของ Bada: ทำไมมันจึงจะอยู่รอด

ตอนนี้ Samsung มาแรงด้านโทรศัพท์มือถือมากๆ คาดว่าอนาคตอาจจะล้มโนเกียลงได้แบบ Worldwide เลยทีเดียว พักหลังนี้ Samsung เริ่มเล่นกับตลาด Smartphone มากขึ้นและได้ดิบได้ดีกับ Windows Mobile Phone รวมถึง Android Phone ในพักหลัง นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ค่ายเกาหลียักษ์ใหญ่นี้หันมาทำ OS เองเพื่อที่จะควบคุมและทำทุกอย่างบน OS ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องไปผูกชีวิตกับ Microsoft หรือ Google หรือ Symbian อีกต่อไป เนื่องจากสินค้าติดตลาดแล้ว

ปัจจุบันนี้ Smartphone ของ Samsung มีอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 6 ของจำนวนเครื่องที่ผลิตทั้งหมด และในอนาคตอาจจะกลายเป็น 1 ใน 3 และ Samsung มีแผนที่จะทำให้เกือบครึ่งของ 1 ใน 3 นั้นเป็น Bada Phone ส่วนที่เหลือจะเป็น Windows Mobile, Android และ Symbian (แต่จากที่ฟังๆเดาว่า Samsung จะโยน Symbian ทิ้งแล้ว) และการที่ Samsung เป็นคนควบคุม OS เอง ดังนั้นราคาของเครื่องจึงมีตั้งแต่ Low End ยัน High End เลยทีเดียว นี่เป็น Business Strategy ที่น่าจะทำให้ Bada ไปรอดเพราะ Prove มาจากฟากโนเกียแล้วว่า Symbian ที่ใครว่าห่วยแสนห่วยนั้นก็ยังไม่ตายจากไปเสียที ทั้งนี้ก็เพราะเป็น OS ที่โนเกียถือหุ้นใหญ่อยู่นั่นเอง


Look and Feel

Bada เมื่อได้ลองจับเล่นแล้วนั้น ให้ความรู้สึกเลยว่ามันได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Android + iPhone ยำๆรวมกัน

นอกจากนั้นยังมี UI ของ Home Screen แบบสไลด์ข้างที่แทบจะลอก Concept ของ Android และ Maemo มาเลย แต่ก็อย่างว่าแหละ มันเป็นเทรนด์!

โดยรวมแล้ว UI ไม่มีจุดเด่น (เพราะดันเหมือนคนอื่นหมด) แต่ก็ออกแบบมาได้ใช้เกือบง่าย (ยังมียากและมึนๆอยู่บ้าง) โดยสรุปแล้วถือว่าผ่านแต่ยังต้องทำการบ้านเรื่อง UI อีกนิดนึง

สำหรับ Touch Screen ก็แน่นอน เป็น Capacitive ที่ทำงานได้เร็วมากกกกกก ต่อกรกับ iPhone และ N900 ได้เลยแหละ และก็แน่นอนอีกเช่นกัน Multitouch ก็ต้องมาด้วย ซึ่งทำงานได้โอเคเลย ^ ^ ส่วนสีของหน้าจอไม่ต้องพูดถึง Super AMOLED เชียวน้าาาาาา


ข้อมูลทางด้านการพัฒนา

สิ่งที่น่าสนใจและดึงดูดสำหรับโปรแกรมเมอร์คือ Bada เลือกใช้ภาษา C/C++ ในการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อดีและข้อเสียต่างจากของ Android ที่เลือกใช้ Java แน่นอน อย่างแรกแน่ๆละคือ C/C++ ทำงานได้เร็วกว่า Java แถมการจัดการเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็น Memory Management หรือ Pointer Accessibility ของ C/C++ ยังได้เปรียบ Java อยู่หลายขุม และข้อดีสุดๆคือเราสามารถ Port โปรแกรมบน Linux มาทำงานบน Bada ได้ง่ายๆเลย แต่ข้อเสียสำคัญคือ C/C++ นั้นเขียนยาก ทำให้เวลาที่ App จะออกสู่ตลาดก็อาจจะช้ากว่า Android แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะว่า iPhone ที่เขียนด้วย Objective C ซึ่งคล้ายภาษาซีก็กลายเป็น Platform ที่มีโปรแกรมเยอะที่สุดไปได้ Smile

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่สำคัญและอาจจะเหนื่อยที่สุดในการพัฒนาโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือคือการทำ UI ซึ่ง Bada เลือกใช้ XML ซึ่งถูกใช้กันอย่างแพร่หลายใน Mobile Platform ต่างๆ ตรงนี้ได้ทดสอบดูแล้วถือว่าผ่าน ใช้ง่ายทีเดียว Smile

สำหรับ IDE ที่ทาง Samsung เลือกใช้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Eclipse นี่แหละ โดยวิธีลงก็แสนง่ายดาย แค่ Double Click Installer ก็จะได้ Bada IDE มาใช้แล้ว ส่วน Simulator ก็เช่นกัน คลิกๆๆก็ลงได้แล้ว แถมยังเชื่อมกับ Bada IDE ได้เองอีก ไม่ต้องมาเซตอะไรให้ยุ่งยาก ถือว่าทำการบ้านมาดีเลยแหละ ตัว Simulator ก็ทำงานได้เร็วมาก เร็วกว่า Symbian Emulator และ Android Emulator มากๆ แต่ก็ยังช้ากว่า iPhone Simulator อยู่

แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายคือ Samsung ไม่ยอมปล่อย Bada SDK ออกสู่สาธารณะเสียที ตอนนี้ต้อง Sign เป็น Partner พร้อมส่งเอกสารการจดทะเบียนบริษัทเพื่อขอรับ SDK อีก ซึ่งถือเป็น Strategy ที่ผิดพลาดมหันต์ แอบไปถามทาง Samsung Thailand มา เค้าบอกว่าน่าจะสักกลางเดือนเมษานี้ จะปล่อยสู่สาธารณะแล้ว... แต่เราก็ไม่ค่อยมั่นใจอ่ะนะ ^^"


โอกาส(และการปิดโอกาส)ของ Developer

ถึง Business Strategy ในการทำ Bada Phone ขึ้นมาเยอะๆอย่างที่ได้บอกไปข้างต้นดูน่าจะเวอร์คแต่จริงๆแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่พอจะเป็นตัวตัดสินสำหรับลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆกลุ่มนึงได้เลยคือ คุณภาพของโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ โชคร้ายที่ Samsung ต้องการเจริญรอยตาม iPhone ด้วยการควบคุมทุกอย่างผ่านตัวเอง แต่ดันพ่วงด้วย Policy เลวร้ายบางประการซึ่งอาจจะทำให้ซ้ำรอยปัญหาเดียวกับ Ovi Store ได้ในที่สุด โดย Policy ที่ Samsung ได้พูดเปรยๆไว้มีดังนี้

1. ทุกโปรแกรมต้องลงผ่าน App Store ไม่สามารถลงโปรแกรมผ่านคอมพ์ด้วยตัวเองได้ ถ้าจะลงต้องลงผ่านมือถือหรือโหลดผ่าน App Store Client บน PC แล้ว Sync ลงมือถือเท่านั้น (พูดง่ายๆ ก็ iTunes กับ iPhone ดีๆนี่แหละ)
2. ผู้ที่เป็น Partner เท่านั้นถึงจะขาย App ตัวเองใน App Store ได้ โดยผู้ที่จะเป็น Partner ได้นั้นต้องเป็นบริษัทเท่านั้น
3. ค่าแรกเข้าเพื่อ Publish App ผ่าน App Store เพียง $1
4. ต้องส่งโปรแกรมเข้าไปตรวจกับทาง Samsung ก่อนถึงจะเอาขึ้น App Store ได้ โดยเวลาที่ใช้ตรวจจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3 วันและมากที่สุดไม่เกิน 7 วัน ทั้งนี้การตรวจจะเข้มงวดมากถึงมากที่สุด โดยจำนวนครั้งเฉลี่ยที่ต้องใช้คือ 1.7 ครั้ง
5. การส่งตรวจ App มีค่าใช้จ่าย (ได้ตัวเลขมาว่า $29 แต่ไม่ยืนยันอะไรทั้งสิ้น)
6. ส่วนแบ่งรายได้มาตรฐานชาวโลก 70:30 (Developer:Samsung)

อย่างไรก็ตามดูเหมือนทาง Samsung จะยังไม่ชัดเจนกับ Policy เหล่านี้มากนัก อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

ซึ่งถ้าดูตรงนี้จะเห็นว่าเค้าต้องการทำเหมือน iPhone แต่ดันใช้ Policy เหมือน Ovi Store ตรงนี้อาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ซึ่งถ้าเป็นจริงก็จะเป็นเรื่องน่าเศร้าเพราะ Symbian กำลังจะทำลายปัญหานี้ทิ้งแล้ว แต่ Samsung กลับจะมีปัญหาตรงนี้แทน

ส่วนตัวตอนนี้ถามว่าสนใจ Bada มั้ย... ก็คงต้องยอมรับว่าสนใจมาก ถึงมันจะดูไม่ใหญ่โตเหมือน Android แต่ก็ดูมี Opportunity บางอย่างที่น่าสนใจมาก ไว้ถ้ามีอะไรอัพเดตจะบอกกันอีกที Smile

บทความที่เกี่ยวข้อง

Feb 23, 2010, 20:55
6915 views
เจาะลึก Mobile App Store
Mar 31, 2010, 14:33
5350 views
แจกโควต้าส่วนลด Milestone
0 Comment(s)
Loading